หน้ามันช่วงทีโซน สาเหตุและวิธีแก้รูขุมขนกว้างถาวร

หน้ามันช่วงทีโซนคือภาวะที่บริเวณหน้าผาก จมูก และคางมีความมันมากกว่าส่วนอื่นของใบหน้าเนื่องจากมีต่อมไขมันหนาแน่น และบทความนี้อธิบายสาเหตุพร้อมวิธีแก้รูขุมขนกว้างอย่างได้ผล
หน้ามันช่วงทีโซน (T-Zone) คืออะไร สังเกตได้อย่างไร
หน้ามันช่วงทีโซนคือบริเวณหน้าผาก จมูก และคางที่มีลักษณะมันวาว เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่นกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า ทำให้มีการผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ
เราสามารถสังเกตได้จากลักษณะดังนี้
- ผิวบริเวณหน้าผาก จมูก และคางจะดูมันเงา
- รูขุมขนในบริเวณทีโซนจะมองเห็นได้ชัดเจนกว่าส่วนอื่น
- มักพบในคนที่มีสภาพผิวผสม คือทีโซนมันแต่บริเวณแก้มจะแห้งหรือปกติ
T-Zone คือบริเวณไหนของใบหน้า
T-Zone คือบริเวณกลางใบหน้า ซึ่งประกอบด้วยหน้าผาก จมูก และคาง เมื่อลากเส้นเชื่อมต่อกันจะมีลักษณะคล้ายรูปตัว “T”
ลักษณะของผิวผสมและหน้ามันช่วงทีโซน
ผิวผสมคือสภาพผิวที่มีความมันบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก และคาง) แต่บริเวณแก้มกลับแห้งหรือเป็นปกติ ลักษณะนี้เกิดจากต่อมไขมันที่หนาแน่นกว่าในบริเวณทีโซน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าส่วนอื่นของใบหน้า วิธีสังเกตง่ายๆ คือหลังล้างหน้า 30 นาที บริเวณทีโซนจะเริ่มมันวาว ในขณะที่แก้มยังคงแห้งหรือรู้สึกตึง (Regional and seasonal variations in facial sebum secretions: A proposal for the definition of combination skin type, Skin Research and Technology, 2005)
สาเหตุที่ทำให้หน้ามันช่วงทีโซนและรูขุมขนกว้าง
ฮอร์โมนกับความมันบนใบหน้า
ฮอร์โมนเป็นปัจจัยหลักที่ควบคุมความมันบนใบหน้า โดยเฉพาะฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมัน ในขณะที่ฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ ก็มีผลต่อความมันเช่นกัน
ฮอร์โมนแต่ละชนิดมีผลต่อการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) แตกต่างกันไป ดังนี้
- แอนโดรเจน (Androgens) เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) และ DHT เป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นมีหน้ามัน
- เอสโตรเจน (Estrogen) มีผลตรงกันข้าม คือช่วยยับยั้งการทำงานและลดขนาดของต่อมไขมัน ทำให้การผลิตน้ำมันลดลง
- โปรเจสเตอโรน (Progesterone) อาจเพิ่มการผลิตน้ำมันได้เล็กน้อยและเป็นเพียงชั่วคราว ผู้หญิงบางคนจึงรู้สึกหน้ามันขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือน
- อินซูลิน (Insulin) และ IGF-1 ระดับอินซูลินที่สูงขึ้นจากการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง สามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันและฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้หน้ามันขึ้นได้
- คอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียด สามารถกระตุ้นให้หน้ามันมากขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อมีความเครียดเรื้อรัง (Regional difference in sebum production by androgen susceptibility in human facial skin, Experimental Dermatology, 2014)
พฤติกรรมและปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นต่อมไขมัน
พฤติกรรมและปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ได้แก่ ความเครียด สภาพแวดล้อม อาหาร และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันโดยตรงและโดยอ้อม
- อาหาร: อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง เช่น น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม สามารถกระตุ้นการผลิตซีบัมได้
- ความเครียดและการใช้ชีวิต: ความเครียดเรื้อรัง การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ สามารถทำให้น้ำมันบนใบหน้าแย่ลงได้
- สภาพแวดล้อม: อากาศที่ร้อนและชื้น รวมถึงมลภาวะในอากาศ สามารถเพิ่มการผลิตซีบัมได้
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic) เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือโกโก้บัตเตอร์ จะทำให้ซีบัมถูกกักเก็บและเกิดการอุดตันได้ (Influence of exposure to summer environments on skin properties, Journal of Eur. Acad. Dermatol. Venereol, 2019)
ปัญหาผิวที่มักเกิดร่วมกับหน้ามันช่วงทีโซน
สิวอุดตันและสิวอักเสบบริเวณ T-Zone
ความมันส่วนเกินในบริเวณ T-zone เป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ โดยน้ำมัน (sebum) ที่ผลิตออกมามากเกินไปจะรวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน กลายเป็นสิวอุดตัน (comedones) เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว เมื่อรูขุมขนอุดตัน จะสร้างสภาวะที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุด เช่น ตุ่มแดง (papules) และตุ่มหนอง (pustules) (Acne pathogenesis and treatment, Reviews in Medicine, 2013)
รูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียน
รูขุมขนกว้างและผิวไม่เรียบเนียนเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก คือ การผลิตน้ำมัน (ซีบัม) มากเกินไป, การสูญเสียคอลลาเจนรอบรูขุมขนตามวัยหรือจากแสงแดด, และการอุดตันของเซลล์ผิวเก่า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผนังรูขุมขนขยายตัว, หย่อนคล้อย, และดูกว้างขึ้น
สาเหตุหลักของรูขุมขนกว้าง ได้แก่
- การผลิตน้ำมันมากเกินไป น้ำมันที่ถูกผลิตออกมามากจะดันให้ผนังรูขุมขนยืดและขยายตัวออก
- การเสื่อมสภาพของคอลลาเจน เมื่ออายุมากขึ้นหรือโดนแสงแดดทำร้าย คอลลาเจนและอีลาสตินที่พยุงผิวรอบรูขุมขนจะเสื่อมลง ทำให้รูขุมขนหย่อนคล้อยและดูกว้างขึ้น
- การอุดตัน การสะสมของน้ำมัน, เซลล์ผิวเก่า, และสิ่งสกปรก ทำให้เกิดการอุดตันและดันรูขุมขนให้ขยายขนาด
สำหรับการรักษาและดูแล สามารถทำได้ทั้งที่บ้านและโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- การดูแลที่บ้าน
- Salicylic Acid (BHA) ช่วยละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน
- Niacinamide ช่วยควบคุมความมันและเสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิว
- Retinoids (เรตินอยด์) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น
- การรักษาโดยแพทย์
- Fractional Laser กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและรูขุมขนเล็กลง
- RF Microneedling ใช้พลังงานความร้อนเพื่อกระชับผิวและลดขนาดต่อมไขมัน
- Chemical Peels (การผลัดเซลล์ผิว) ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าและลดการอุดตัน (Regional and seasonal variations in facial sebum secretions: A proposal for the definition of combination skin type, Skin Research and Technology, 2005)
วิธีแก้หน้ามันช่วงทีโซนและดูแลผิวผสมด้วยตัวเอง
การดูแลผิวผสมและแก้ปัญหาหน้ามันช่วงทีโซนด้วยตัวเองทำได้โดยการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมควบคุมความมัน และดูแลผิวแต่ละส่วนแตกต่างกัน ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนพื้นฐานได้ดังนี้
- ทำความสะอาด: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนและมีค่า pH สมดุล เพื่อขจัดความมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
- ใช้ส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมัน: มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่ช่วยละลายไขมันในรูขุมขน, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยลดการผลิตซีบัม หรือเรตินอยด์ (Retinoids) ที่ช่วยปรับการทำงานของต่อมไขมัน
- ให้ความชุ่มชื้น: เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบา เช่น เจลครีม หรือโลชั่นที่ปราศจากน้ำมัน (Oil-Free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-Comedogenic) เพื่อเติมความชุ่มชื้นโดยไม่เพิ่มความมัน
- ดูแลผิวเฉพาะจุด: ใช้วิธี “Multi-masking” โดยพอกมาสก์โคลนเพื่อดูดซับความมันเฉพาะบริเวณทีโซน และใช้มาสก์เติมความชุ่มชื้นบริเวณแก้มที่แห้งกว่า
- จัดการความมันระหว่างวัน: ใช้กระดาษซับมันเพื่อซับความมันส่วนเกินเฉพาะบริเวณทีโซนได้ตามต้องการ (30% supramolecular salicylic acid peels effectively treat acne vulgaris and reduce facial sebum, Journal of Cosmetic Dermatology, 2022)
การเลือกใช้สกินแคร์และมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวผสม
การเลือกสกินแคร์สำหรับผิวผสมควรใช้วิธีดูแลเฉพาะโซน (zone-specific) โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ควบคุมความมันสำหรับบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก คาง) และใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้นสำหรับบริเวณแก้มที่แห้งกว่า
หลักการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวผสมมีดังนี้:
- มอยเจอร์ไรเซอร์: ควรเลือกสูตรที่บางเบา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) เช่น เจลครีม โลชั่นปราศจากน้ำมัน หรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นอย่างไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรีน (Glycerin)
- การดูแลเฉพาะโซน: ใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมัน เช่น โทนเนอร์หรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เฉพาะบริเวณทีโซน และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นมากกว่าบนแก้ม
- การทำความสะอาด: เลือกใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนในรูปแบบเจลโฟมหรือของเหลว เพื่อขจัดความมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
- มัลติมาสก์ (Multi-masking): เป็นเทคนิคที่แนะนำ โดยใช้มาสก์โคลนเพื่อดูดซับความมันบนทีโซน และใช้มาสก์เติมความชุ่มชื้นบนบริเวณแก้มไปพร้อมกัน (Regional and seasonal variations in facial sebum secretions: A proposal for the definition of combination skin type, Skin Research and Technology, 2005)
วิธีล้างหน้าและซับมันที่ถูกต้อง
วิธีที่ถูกต้องคือการล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และใช้กระดาษซับมันตามความจำเป็น การล้างหน้าบ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ ส่วนการใช้กระดาษซับมันเป็นเพียงการกำจัดน้ำมันบนผิวหน้าและไม่ได้กระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น
- การล้างหน้า: ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่สมดุล เช่น โฟมหรือเจลล้างหน้า เพื่อขจัดความมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงเกินไป
- การซับมัน: สามารถใช้กระดาษซับมันได้บ่อยเท่าที่ต้องการเพื่อดูดซับความมันส่วนเกินบนใบหน้าระหว่างวัน ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดความมันวาวได้ทันทีโดยไม่รบกวนเครื่องสำอาง (BMC Public Health, 2021)
การปรับพฤติกรรมเพื่อลดหน้ามันถาวร
การปรับพฤติกรรมไม่สามารถลดความมันบนใบหน้าได้อย่างถาวร เนื่องจากปัจจัยหลักที่ควบคุมการผลิตไขมันคือพันธุกรรมและฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม การปรับพฤติกรรมสามารถช่วยจัดการความมันและลดปัญหาผิวที่ตามมาได้
พฤติกรรมที่แนะนำเพื่อช่วยควบคุมความมัน ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นการกระจายน้ำมันและเชื้อโรค
- ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์เป็นประจำ
- เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำมันและแบคทีเรีย
- ไม่ขัดหรือถูใบหน้าแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและกระตุ้นการอักเสบ
- จัดการความเครียด เนื่องจากความเครียดสามารถกระตุ้นให้ผิวมันมากขึ้นได้
รักษาหน้ามันเองไม่หาย ควรพบแพทย์เมื่อไหร่
ควรพบแพทย์เมื่อมีสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง เกิดรอยแผลเป็น หรือเมื่อการดูแลผิวด้วยตัวเองไม่ได้ผลหลังจากลองมาแล้ว 2-3 เดือน
แพทย์ผิวหนังสามารถประเมินและวินิจฉัยเพื่อแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกันได้ โดยเกณฑ์ที่ควรพิจารณาเพื่อไปพบแพทย์ ได้แก่
- มีสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้างที่เจ็บปวด หรือสิวที่เริ่มทิ้งรอยแผลเป็น
- ปัญหาหน้ามันและสิวไม่ดีขึ้น แม้จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (Over-the-counter) อย่างสม่ำเสมอแล้ว
- มีสัญญาณของภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีขนขึ้นเยอะผิดปกติในผู้หญิง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงภาวะ PCOS
- ต้องการการวินิจฉัยที่แน่ชัดเพื่อแยกโรคอื่น เช่น โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) หรือ โรคโรซาเชีย (Rosacea) (American Academy of Dermatology, 2018)
โปรแกรมรักษาหน้ามันและกระชับรูขุมขนทางการแพทย์
เลเซอร์ลดความมันและกระชับรูขุมขน
เลเซอร์ที่ช่วยลดความมันและกระชับรูขุมขน ได้แก่ Fractional Laser, 1450 nm Diode Laser และ RF Microneedling เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานโดยการส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวหนังเพื่อลดการทำงานของต่อมไขมันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- Fractional Laser (เช่น CO₂, Er:YAG): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้โครงสร้างผิวรอบรูขุมขนกระชับและดูเล็กลง นอกจากนี้ยังช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ในระยะสั้น
- 1450 nm Diode Laser: เป็นเลเซอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเป้าไปที่การทำลายต่อมไขมันโดยเฉพาะ ทำให้การผลิตน้ำมัน (sebum) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- RF Microneedling (คลื่นวิทยุแบบมีเข็ม): เป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุส่งผ่านปลายเข็มขนาดเล็กเพื่อทำลายต่อมไขมันโดยตรง ทำให้ต่อมไขมันหดตัวและผลิตน้ำมันน้อยลง พร้อมทั้งกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อกระชับรูขุมขน
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีแสงอื่นๆ เช่น Intense Pulsed Light (IPL) และ Photodynamic Therapy (PDT) ที่สามารถช่วยลดการอักเสบและทำลายต่อมไขมันได้เช่นกัน (Effects of a 1,450 nm diode laser on facial sebum excretion, Lasers in Surgery and Medicine, 2009)
โปรแกรมฉีดหน้าใสและรักษาสิว
การฉีดโบทูลินัมท็อกซินเข้าไปในชั้นผิวหนังแบบตื้นๆ (MicroBotox) เป็นโปรแกรมการฉีดที่ช่วยลดการผลิตไขมันและกระชับรูขุมขนได้ชั่วคราว นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมการรักษาอื่นๆ ที่ช่วยให้หน้าใสและรักษาสิวได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- เลเซอร์และแสงบำบัด (Laser and Light Therapies): เช่น Fractional Laser ช่วยลดขนาดรูขุมขนและรอยแผลเป็น, 1450 nm Diode Laser และ Photodynamic Therapy (PDT) ช่วยทำลายต่อมไขมันและลดความมัน
- คลื่นวิทยุแบบมีเข็ม (RF Microneedling): ใช้พลังงานความร้อนเพื่อลดการผลิตไขมันและกระชับรูขุมขน
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): การใช้กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ความเข้มข้นสูงช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และควบคุมความมัน
- ยารับประทาน (Oral Medications): สำหรับกรณีรุนแรง ยา เช่น Isotretinoin สามารถลดขนาดและการทำงานของต่อมไขมันได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือยา Spironolactone ที่ช่วยต้านฮอร์โมนเพศชายเพื่อลดความมันในผู้หญิง (Microbotox for improving pore size and sebum production, Journal of Cosmetic and Clinical Dermatology, 2021)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหน้ามันช่วงทีโซน
หน้ามันช่วงทีโซนแต่แก้มแห้ง ควรดูแลอย่างไร
การดูแลผิวผสมที่มีหน้ามันช่วงทีโซนแต่แก้มแห้งคือการดูแลผิวแต่ละส่วนของใบหน้าแตกต่างกันไป โดยเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณ หรือที่เรียกว่า “การดูแลผิวแบบเฉพาะโซน” (Zone-specific care)
- บริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก คาง): ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันและทำความสะอาดรูขุมขน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
- บริเวณแก้ม: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นการให้ความชุ่มชื้น เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง
- การทำความสะอาด: เลือกใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่สมดุลกับผิว เพื่อทำความสะอาดความมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้บริเวณแก้มแห้งตึง
- การมาสก์หน้า: ใช้วิธี “มัลติมาสก์” (Multi-masking) คือใช้มาสก์โคลนเพื่อดูดซับความมันบนทีโซน และในขณะเดียวกันก็ใช้มาสก์ที่ให้ความชุ่มชื้นบนบริเวณแก้ม (Mdpi, 2024)
หน้ามันไม่ควรใช้อะไรทาหน้า
ผู้ที่มีผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (comedogenic) และผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว เช่น โทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวมันยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์และส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
- ส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic Ingredients): เช่น น้ำมันมะพร้าว (coconut oil), โกโก้บัตเตอร์ (cocoa butter), ลาโนลิน (lanolin) และ Isopropyl Myristate ซึ่งมักพบในครีมเนื้อหนัก
- ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูง: โทนเนอร์หรือแอสตริงเจนต์ที่รุนแรงสามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
- เครื่องสำอางเนื้อหนัก: รองพื้นเนื้อครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่ให้ความฉ่ำวาว (dewy finish) อาจทำให้ผิวดูมันเยิ้มและอุดตันรูขุมขนได้ง่ายขึ้น (Comedogenic ingredients (pore-clogging ingredients list), AcneClinicNYC, 2021)
กินอะไรช่วยลดหน้ามันได้บ้าง
การรับประทานอาหารที่มี ดัชนีน้ำตาลต่ำและจำกัดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากนม สามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิดอาจกระตุ้นการผลิตไขมันบนผิวหนัง
อาหารที่แนะนำให้รับประทานเพื่อช่วยควบคุมความมัน ได้แก่
- อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น น้ำมันปลา
- ผักและผลไม้ ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
- อาหารที่มีสังกะสีและวิตามินเอ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักสีเหลืองหรือสีแดง
