Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

เคล็ดลับหน้าใสที่คลินิกเสริมความงาม รวมทรีตเมนต์น่าทำและราคาล่าสุด

Byadmin ตุลาคม 31, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 31, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เคล็ดลับหน้าใสที่คลินิกไม่บอก รวมทรีตเมนต์น่าทำและราคาล่าสุด

Table of Contents

Toggle
  • “หน้าใส” ในทางการแพทย์คืออะไร แตกต่างจากวิธีทั่วไปอย่างไร
  • ใครบ้างที่เหมาะกับการทำทรีตเมนต์หน้าใสที่คลินิก
    • สัญญาณผิวที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • ข้อห้ามและเงื่อนไขที่ไม่ควรทำหัตถการหน้าใส
  • 5 หัตถการหน้าใสยอดนิยมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ
    • การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy)
    • เลเซอร์ปรับสภาพผิว (Skin Resurfacing Lasers)
    • การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Medical-Grade Peels)
    • การเติมวิตามินผิว (IV Drip & Skin Boosters)
    • ฟิลเลอร์งานผิวเพื่อความฉ่ำวาว (Skin Quality Fillers)
    • เกณฑ์การเลือก: ความเจ็บ จำนวนครั้ง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  • อัตราค่าบริการและราคาคอร์สหน้าใสโดยประมาณ
    • ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของแต่ละโปรแกรม
    • ตารางเปรียบเทียบราคาเริ่มต้นต่อครั้งและต่อคอร์ส
  • ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรมหน้าใส
    • การเตรียมตัวก่อนรับบริการทรีตเมนต์
    • การดูแลผิวหลังทำเพื่อรักษาผลลัพธ์
  • ความเข้าใจผิดและข้อควรระวังเกี่ยวกับการทำหน้าใส
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำหน้าใส (FAQ)
    • ทำทรีตเมนต์หน้าใสเจ็บไหม?
    • ต้องทำหัตถการหน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
    • ผลลัพธ์จากการทำหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน?
    • การทำหน้าใสที่คลินิกเหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายหรือไม่?
    • หลังทำทรีตเมนต์หน้าใสต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
    • ทำหน้าใสด้วยเลเซอร์กับเมโสต่างกันอย่างไร?
  • References:

“หน้าใส” ในทางการแพทย์คืออะไร แตกต่างจากวิธีทั่วไปอย่างไร

“หน้าใส” ในทางการแพทย์คือผิวที่ปราศจากรอยโรค เช่น สิวอักเสบ และรอยที่เกิดตามมาอย่างรอยดำรอยแดง โดยมีสีผิวสม่ำเสมอและผิวเรียบเนียน

ความแตกต่างจากวิธีดูแลผิวทั่วไปคือ การรักษาทางการแพทย์จะเน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และใช้เครื่องมือหรือยาที่เข้มข้นกว่าเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและวัดผลได้ด้วยเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การนับจำนวนสิว ในขณะที่การดูแลผิวทั่วไปมักเน้นการดูแลผิวชั้นนอกและวัดผลจากความรู้สึกเป็นหลัก

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำทรีตเมนต์หน้าใสที่คลินิก

สัญญาณผิวที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สัญญาณผิวที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ สิวที่ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลด้วยตนเอง สิวอักเสบลึกที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำ ผื่นที่เกิดขึ้นกะทันหัน ฝ้าหรือจุดด่างดำที่รักษายาก และตุ่มหรือก้อนที่ขึ้นบนผิวหนัง

โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • สิวเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไปเป็นเวลา 2-3 เดือน
  • สิวอักเสบหัวช้าง (Deep cystic breakouts)
  • สิวที่ทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำไว้
  • ผดผื่นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
  • ฝ้าหรือจุดด่างดำที่รักษายาก
  • ตุ่มหรือก้อนเนื้อใดๆ ที่ปรากฏบนผิวหนัง

โดยทั่วไป หากปัญหาผิวส่งผลกระทบต่อความมั่นใจหรือไม่ตอบสนองต่อการดูแลที่บ้าน ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

ข้อห้ามและเงื่อนไขที่ไม่ควรทำหัตถการหน้าใส

ผู้ที่มีภาวะบางอย่าง เช่น กำลังมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, เพิ่งใช้ยาไอโซเตรติโนอิน, กำลังตั้งครรภ์ หรือมีแนวโน้มเป็นแผลเป็นคีลอยด์ ไม่เหมาะกับการทำหัตถการหน้าใสบางประเภทและควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

เงื่อนไขและข้อห้ามที่ไม่ควรทำหัตถการหน้าใสบางชนิด ได้แก่:

  • การติดเชื้อที่ผิวหนัง: ผู้ที่มีการติดเชื้อ เช่น สิวอักเสบรุนแรง หรือเริม ควรได้รับการรักษาก่อนทำเลเซอร์หรือลอกผิวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • การใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): หากใช้ยานี้ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา ควรหลีกเลี่ยงการลอกผิวระดับกลางถึงลึกและการทำเลเซอร์บางชนิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อการสมานแผล
  • แนวโน้มการเกิดแผลเป็นคีลอยด์: ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ง่าย ควรเลือกทำหัตถการที่อ่อนโยนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: โดยทั่วไปแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลอกผิวด้วยสารเคมี, การทำเลเซอร์ และการฉีดบางชนิดเพื่อความปลอดภัย
  • ผู้ที่มีสีผิวเข้มมาก: มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) จากการทำเลเซอร์หรือลอกผิวที่รุนแรง จึงควรเลือกวิธีที่อ่อนโยนกว่า
  • ภาวะอื่นๆ: เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้, โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือการใช้ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความปลอดภัยก่อนทำหัตถการ

5 หัตถการหน้าใสยอดนิยมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ

การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy)

เมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารบำรุงผิว ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน กรดไฮยาลูรอนิก แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปในชั้นผิวหนังโดยตรง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน

หัตถการนี้ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่น และมอบความชุ่มชื้นฉ่ำวาว (dewy glow) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ อ่อนล้า หรือมีริ้วรอยเล็กน้อย โดยทั่วไปแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เลเซอร์ปรับสภาพผิว (Skin Resurfacing Lasers)

เลเซอร์ปรับสภาพผิวคือ การใช้พลังงานแสงแบบเข้มข้นเพื่อจัดการกับชั้นผิวหรือเม็ดสีที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

เลเซอร์ทางการแพทย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  • Ablative Lasers: ทำลายผิวชั้นนอกเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับรักษารอยแผลเป็นจากสิวและริ้วรอยลึก
  • Non-ablative Lasers: ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นในโดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับลดเลือนเม็ดสี รอยแดง และริ้วรอยตื้นๆ

เลเซอร์สามารถปรับปรุงสภาพผิวได้อย่างชัดเจนโดยการลบเลือนจุดด่างดำ กระชับรูขุมขน และทำให้สีผิวสม่ำเสมอ

การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Medical-Grade Peels)

การทำเคมิคอลพีล (Chemical Peel) คือการใช้สารละลายที่มีฤทธิ์เป็นกรดทาลงบนผิวหนังเพื่อผลัดเซลล์ผิวอย่างควบคุมได้ โดยแพทย์ผิวหนังจะใช้กรดหลายชนิด เช่น กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA), กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA), กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) และฟีนอล (Phenol) ในความเข้มข้นที่แตกต่างกัน

ความลึกของการลอกผิวสามารถปรับได้ 3 ระดับตามปัญหาผิว:

  • ลอกผิวระดับตื้น (Light Peels): ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้ผิวสว่างใสขึ้น ลดรอยดำเล็กน้อย และควบคุมสิว
  • ลอกผิวระดับปานกลาง (Medium Peels): ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ส่วนบน ช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ ฝ้ากระจากแดด และรอยแผลเป็นจากสิว
  • ลอกผิวระดับลึก (Deep Peels): ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ส่วนกลาง สามารถฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดดอย่างรุนแรงหรือมีรอยแผลเป็นลึกได้ดีเยี่ยม

การเติมวิตามินผิว (IV Drip & Skin Boosters)

การเติมวิตามินผิวคือการให้สารอาหารแก่ผิวหนังผ่านการฉีดเข้าเส้นเลือด (IV Drip) หรือการฉีดเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง (Skin Booster) เพื่อฟื้นฟูและบำรุงผิว โดยทั้งสองวิธีมีกลไกและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • IV Drip (การดริปวิตามินเข้าเส้นเลือด): เป็นการให้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี หรือกลูตาไธโอน ผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แม้จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและผิวดูเปล่งปลั่งขึ้นชั่วคราว แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันผลด้านการทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญยังมีน้อย
  • Skin Booster (การฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิว): เป็นการฉีดสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว เช่น กรดอะมิโน หรือโพลีนิวคลีโอไทด์ (PDRN) เข้าไปในชั้นผิวหนังโดยตรง วิธีนี้ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่น คุณภาพผิว และลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้อย่างตรงจุด

ฟิลเลอร์งานผิวเพื่อความฉ่ำวาว (Skin Quality Fillers)

ฟิลเลอร์งานผิวคือฟิลเลอร์ผิวหนังชนิดพิเศษที่ไม่ได้ใช้เพื่อเพิ่มปริมาตร แต่เน้นการปรับปรุงโทนสีผิว ความชุ่มชื้น และความเรียบเนียน เพื่อให้ผิวดูฉ่ำวาว (Glassy Skin)

ฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นเจลกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่มีโมเลกุลละเอียดและเชื่อมขวางกันเบาๆ ซึ่งจะถูกฉีดเป็นหยดเล็กๆ เข้าไปใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่เหมือนมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นจากภายใน โดยการดึงน้ำเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู ยืดหยุ่น และสะท้อนแสงได้ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ชุ่มชื้น กระจ่างใส และริ้วรอยเล็กๆ ดูลดเลือนลง โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6–9 เดือน

เกณฑ์การเลือก: ความเจ็บ จำนวนครั้ง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง

การเลือกหัตถการหน้าใสควรพิจารณาจากระดับความเจ็บที่รับได้ จำนวนครั้งที่ต้องทำ และผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งแต่ละวิธีมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบเกณฑ์การเลือกหัตถการแต่ละประเภท:

หัตถการ ระดับความเจ็บ จำนวนครั้ง ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เจ็บเล็กน้อย (เหมือนมดกัด) 3–6 ครั้ง (ห่างกัน 2–4 สัปดาห์) ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ดูโกลว์ใส สุขภาพดีขึ้น
เลเซอร์ (Laser) ปานกลางถึงเจ็บมาก (ขึ้นอยู่กับชนิด) 1–6 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับชนิด) ลดรอยสิว หลุมสิว จุดด่างดำ และกระชับรูขุมขน
ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) แสบเล็กน้อยถึงเจ็บมาก (ขึ้นอยู่กับความลึก) 1–6 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับความลึก) ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดสิวอุดตัน รอยดำ และริ้วรอยตื้นๆ
ดริปวิตามินผิว (IV Drip) เจ็บเล็กน้อย (แค่ตอนเจาะสายน้ำเกลือ) 4–6 ครั้งขึ้นไป (ทำสัปดาห์ละครั้ง) ผิวสดใสขึ้นชั่วคราวจากการเติมน้ำและสารอาหาร (ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน)
ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) เจ็บเล็กน้อย (มีการใช้ยาชา) 1–3 ครั้ง (ผลลัพธ์อยู่ได้ 6–12 เดือน) ผิวฉ่ำวาวแบบ Glass Skin เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น

อัตราค่าบริการและราคาคอร์สหน้าใสโดยประมาณ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของแต่ละโปรแกรม

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาโปรแกรมหน้าใส ได้แก่ ประเภทของเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ และที่ตั้งของคลินิก

ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อราคา ได้แก่

  • เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์: คุณภาพและยี่ห้อของเครื่องมือ (เช่น เลเซอร์รุ่นใหม่กับเครื่อง IPL รุ่นเก่า) หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (เช่น ฟิลเลอร์นำเข้าเกรดพรีเมียม)
  • ปริมาณและพื้นที่: ปริมาณยาที่ใช้หรือขนาดของพื้นที่ผิวที่ทำการรักษา
  • ผู้ให้บริการและคลินิก: ประสบการณ์ของแพทย์ ความน่าเชื่อถือของคลินิก และทำเลที่ตั้ง
  • โปรโมชันและแพ็กเกจ: คลินิกมักมีแพ็กเกจแบบคอร์สที่ให้ราคาต่อครั้งถูกลงเมื่อซื้อหลายครั้ง

ตารางเปรียบเทียบราคาเริ่มต้นต่อครั้งและต่อคอร์ส

ราคาเริ่มต้นสำหรับหัตถการหน้าใสแตกต่างกันไปตามประเภทของทรีตเมนต์ โดยการผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) มีราคาต่อครั้งที่เข้าถึงง่ายที่สุด ในขณะที่กลุ่มฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) จะมีราคาสูงที่สุด

ตารางเปรียบเทียบราคาโดยประมาณในประเทศไทย:

หัตถการ (Treatment) ราคาเริ่มต้นต่อครั้ง (Per Session) ราคาเริ่มต้นต่อคอร์ส (Per Course/Package)
เมโสหน้าใส (Mesotherapy) 2,500 บาท คอร์ส 5 ครั้ง เริ่มต้น 12,000 บาท
เลเซอร์ (Laser) 5,000 บาท คอร์ส 5 ครั้ง เริ่มต้น 9,000 บาท (สำหรับบางชนิด)
ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) 800 บาท คอร์ส 3-5 ครั้ง เริ่มต้น 2,300 – 3,800 บาท
ดริปวิตามินผิว (IV Drip) 1,500 บาท คอร์ส 5 ครั้ง เริ่มต้น 10,000 บาท
ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) 8,000 บาท (ต่อ 1 cc) โปรโมชันหลายซีซี เช่น 5 ซีซี เริ่มต้น 42,500 บาท

ทั้งนี้ ราคาอาจแตกต่างกันไปตามคลินิก โปรโมชัน คุณภาพของอุปกรณ์ และยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ที่ใช้

ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรมหน้าใส

การเตรียมตัวก่อนรับบริการทรีตเมนต์

การเตรียมตัวก่อนทำทรีตเมนต์หน้าใสที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงแสงแดดและหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองผิว เพื่อให้ผิวพร้อมรับการรักษาและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ ก่อนเข้ารับบริการ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และการอาบแดดอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ และทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
  • หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคือง เช่น เรตินอยด์, กรดไกลโคลิก/ซาลิไซลิก ประมาณ 3-7 วันก่อนทำ
  • งดยาหรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดบาง เช่น แอสไพริน, วิตามินอี, น้ำมันปลา เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อลดรอยช้ำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและฟื้นฟูได้ดี
  • แจ้งแพทย์หากมีประวัติเป็นโรคเริม เพื่อรับยาป้องกันการกำเริบของโรค
  • มาด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอางในวันนัด

การดูแลผิวหลังทำเพื่อรักษาผลลัพธ์

การดูแลผิวหลังทำทรีตเมนต์เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุดคือ การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด การให้ความชุ่มชื้น และการดูแลไลฟ์สไตล์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

การดูแลผิวแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก ดังนี้

  • การดูแลทันทีหลังทำ
  • ป้องกันแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 ทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง
  • ให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยนและปราศจากน้ำหอมเพื่อช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
  • ห้ามแกะหรือลอกผิว: ปล่อยให้สะเก็ดหรือผิวที่ลอกหลุดออกเองตามธรรมชาติเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นและรอยดำ
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
  • การดูแลรักษาระยะยาว
  • ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์ และอาจเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น วิตามินซี) และเรตินอยด์ (หลังจากผิวหายดีแล้ว) เพื่อส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน
  • ปรับไลฟ์สไตล์: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เต็มที่ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • ทำทรีตเมนต์เพื่อคงสภาพ: อาจพิจารณาทำทรีตเมนต์เบาๆ เป็นครั้งคราว เช่น การทำเลเซอร์โทนนิ่งหรือเมโสเทอราปีทุก 6-12 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์

ความเข้าใจผิดและข้อควรระวังเกี่ยวกับการทำหน้าใส

ความเข้าใจผิดที่สำคัญเกี่ยวกับการทำหน้าใสคือ การเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เองที่บ้านให้ผลลัพธ์เทียบเท่าคลินิก หรือการรักษาที่รุนแรงกว่าจะดีกว่าเสมอ ส่วนข้อควรระวังหลักคือการตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และการมีคาดหวังที่เป็นจริงต่อผลลัพธ์

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย:

  • ผลิตภัณฑ์ที่บ้านให้ผลเหมือนคลินิก: ในความเป็นจริง การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญสามารถเข้าถึงผิวชั้นที่ลึกกว่าและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป
  • ยิ่งรุนแรงยิ่งดี: การรักษาที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้เกิดรอยดำในคนผิวคล้ำ การรักษาที่เหมาะสมควรปรับให้เข้ากับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ทำให้ผิวบางลง: การรักษาที่ถูกต้อง เช่น เลเซอร์หรือการผลัดเซลล์ผิว จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวชั้นหนังแท้หนาและแข็งแรงขึ้นในระยะยาว ไม่ได้ทำให้ผิวบางลง
  • ไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย: ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถรับการรักษาได้ แต่แพทย์จะปรับวิธีการให้มีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ เช่น ใช้เลเซอร์พลังงานต่ำหรือกรดผลไม้ความเข้มข้นต่ำ

ข้อควรระวังและคำแนะนำ:

  • ตระหนักถึงความเสี่ยง: แม้จะปลอดภัย แต่การรักษาก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) รอยแผลเป็น (พบได้น้อยมาก) หรือการติดเชื้อ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด
  • จัดการความคาดหวัง: ผลลัพธ์อาจไม่เกิดขึ้นทันทีและไม่ใช่การรักษาที่ถาวร ผิวหนังยังคงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและปัจจัยภายนอก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่องและอาจต้องกลับมารับการรักษาเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำหน้าใส (FAQ)

ทำทรีตเมนต์หน้าใสเจ็บไหม?

ความเจ็บปวดของการทำทรีตเมนต์หน้าใสจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ โดยมีระดับความเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ซึ่งมักมีการใช้ยาชาเฉพาะที่หรือการให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อช่วยบรรเทา

  • เมโสหน้าใส, IV Drip และ Skin Booster: ความเจ็บปวดอยู่ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยส่วนใหญ่จะรู้สึกเจ็บแค่ตอนแทงเข็ม และมักมีการทายาชาก่อนทำ
  • เลเซอร์: ความเจ็บปวดมีตั้งแต่ระดับปานกลาง (รู้สึกเหมือนโดนยางดีด) สำหรับเลเซอร์แบบ Non-ablative ไปจนถึงระดับรุนแรง (รู้สึกแสบร้อน) สำหรับเลเซอร์แบบ Ablative ซึ่งอาจต้องใช้ยาชาหรือยาระงับความรู้สึก
  • เคมีคอลพีลลิ่ง (Chemical Peels): ความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับความลึกของการลอกผิว ตั้งแต่รู้สึกยิบๆ เล็กน้อยสำหรับการลอกผิวแบบตื้น ไปจนถึงรู้สึกแสบร้อนอย่างรุนแรงสำหรับการลอกผิวแบบลึก ซึ่งอาจต้องใช้ยาระงับความรู้สึกช่วย

ต้องทำหัตถการหน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

จำนวนครั้งในการทำหัตถการหน้าใสเพื่อให้เห็นผลนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทและความเข้มข้นของหัตถการ โดยบางชนิดอาจเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก ในขณะที่บางชนิดต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง

  • หัตถการที่เห็นผลใน 1-2 ครั้ง: การทำเลเซอร์ชนิดรุนแรง (Ablative Laser), การลอกผิวด้วยเคมีระดับลึก (Deep Peel) และการฉีดฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) มักให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ในครั้งเดียว
  • หัตถการที่ต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง: การทำเมโสหน้าใส (Mesotherapy), เลเซอร์ชนิดอ่อนโยน (Non-ablative Laser), การลอกผิวแบบตื้น (Light Peel) และการให้วิตามินทางหลอดเลือด (IV Drip) มักจะต้องทำต่อเนื่องเป็นคอร์ส โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นหลังทำครั้งที่ 2-3 เป็นต้นไป

ผลลัพธ์จากการทำหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน?

ระยะเวลาของผลลัพธ์จากการทำหน้าใสจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล โดยผลลัพธ์ของแต่ละหัตถการมีความคงทนไม่เท่ากัน ดังนี้

  • การรักษาหลุมสิวและริ้วรอยลึกด้วยเลเซอร์: ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี
  • การรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ: ปัญหาอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากถูกกระตุ้นด้วยแสงแดดหรือฮอร์โมน จึงจำเป็นต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง
  • การฉีดฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster): ผลลัพธ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
  • การฉีดเมโสหน้าใส: ผลลัพธ์จะค่อยๆ จางลงในเวลาประมาณ 4-6 เดือน และจำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิว

การทำหน้าใสที่คลินิกเหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว การทำหน้าใสที่คลินิกเหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาให้เหมาะสม แพทย์ผิวหนังจะเลือกใช้วิธีการที่อ่อนโยนกว่า เช่น การใช้เลเซอร์ชนิด non-ablative ที่ใช้พลังงานต่ำ หรือการลอกผิวด้วยกรดที่มีความเข้มข้นต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและค่อยๆ ปรับปรุงสภาพผิวอย่างปลอดภัย

หลังทำทรีตเมนต์หน้าใสต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

การดูแลตัวเองหลังทำทรีตเมนต์หน้าใสที่สำคัญที่สุดคือ การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัดและดูแลผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

ข้อควรปฏิบัติหลังการทำทรีตเมนต์ มีดังนี้:

  • ทาครีมกันแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 เป็นประจำทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง
  • ให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและกรดต่างๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
  • ห้ามแกะหรือลอกผิว: ปล่อยให้สะเก็ดหรือผิวที่ลอกหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ
  • หลีกเลี่ยงความร้อนและการออกกำลังกาย: งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
  • ใช้ยาตามแพทย์สั่ง: หากแพทย์สั่งยาหรือครีม เช่น ยาฆ่าเชื้อหรือยาลดการอักเสบ ควรใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ทำหน้าใสด้วยเลเซอร์กับเมโสต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างที่สำคัญคือ เลเซอร์ใช้พลังงานแสงเพื่อแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด ส่วนเมโสใช้การฉีดสารอาหารเพื่อบำรุงและฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม

  • หลักการทำงาน:
  • เลเซอร์: ใช้พลังงานแสงที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น ทำลายเม็ดสีส่วนเกิน (จุดด่างดำ) หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกเพื่อซ่อมแซมหลุมสิวและริ้วรอย
  • เมโส: ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงต่างๆ เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระจ่างใสจากภายใน
  • ปัญหาที่เหมาะสม:
  • เลเซอร์: เหมาะสำหรับปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น หลุมสิว, จุดด่างดำฝังลึก, รอยแผลเป็น, ริ้วรอย และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
  • เมโส: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ, ขาดน้ำ, แห้งกร้าน หรือต้องการให้ผิวโดยรวมดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีสุขภาพดีขึ้น
  • ผลลัพธ์:
  • เลเซอร์: ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุด สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิวได้อย่างเห็นได้ชัด เช่น ทำให้รอยดำจางลงหรือหลุมสิวตื้นขึ้น
  • เมโส: ให้ผลลัพธ์ในด้านคุณภาพผิวที่ดีขึ้นโดยรวม ผิวจะดูโกลว์ ชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ได้เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่รุนแรง

References:

  1. Cleveland Clinic. (n.d.). Laser Skin Resurfacing – Overview & Candidate Criteria. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
  2. Mayo Clinic. (n.d.). Laser Resurfacing – About, Types, and Risks. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  3. Samargandy, S., & Raggio, B. (n.d.). Chemical Peels for Skin Resurfacing. StatPearls (NIH/NLM). ncbi.nlm.nih.gov
  4. Laboratoires Filorga. (n.d.). Mesotherapy Explained – Rejuvenation Technique Guide. Filorga. filorga.com
  5. Monheit, G.D., & Prather, C.D. (n.d.). The Effectiveness of Injectable Hyaluronic Acid in Improving Facial Skin Quality. Journal of Drugs in Dermatology (via NIH PMC). ncbi.nlm.nih.gov
  6. Dermstore. (n.d.). How to Get Clear Skin: 13 Dermatologist-Approved Tips. Dermstore. dermstore.com
  7. Charleston Dermatology. (n.d.). Simple Lifestyle Changes to Promote Healthy Skin. Charleston Dermatology. charlestondermatology.com
  8. Medical News Today. (n.d.). CO2 Laser: Uses, Benefits, Side Effects. Medical News Today. medicalnewstoday.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
รวม 15 คลินิกเสริมความงามชื่อดังในกรุงเทพ จุดเด่นและบริการหลัก
NextContinue
ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า เกิดจากอะไร? ควรใช้ต่อหรือพอแค่นี้?

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube