เซราไมด์คืออะไร? แพทย์ผิวหนังแนะนำเพื่อเกราะป้องกันผิวแข็งแรง

เซราไมด์ (Ceramide) คือไขมันจำเป็นที่เป็นส่วนประกอบหลักถึง 50% ของเกราะป้องกันผิว ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ผิวให้แข็งแรงเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากมลภาวะภายนอก.
เซราไมด์คืออะไร: ส่วนประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว
เซราไมด์ (Ceramide) คือไขมันที่จำเป็นซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักประมาณ 50% ของเกราะป้องกันผิว โดยทำหน้าที่เปรียบเสมือน “ปูน” ที่เชื่อมเซลล์ผิว (อิฐ) เข้าไว้ด้วยกันอย่างแข็งแรง เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งระคายเคืองภายนอก เช่น มลภาวะและสารก่อภูมิแพ้ หากผิวขาดเซราไมด์ เกราะป้องกันผิวจะอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ระคายเคือง และไวต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ได้ง่าย
กลไกการทำงานของเซราไมด์ในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
เซราไมด์ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของไขมันในชั้นผิวหนังกำพร้า โดยทำหน้าที่เสมือน “ปูน” ที่เชื่อมเซลล์ผิวเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่แข็งแรงและเป็นระเบียบ
กลไกการทำงานหลักของเซราไมด์มี 2 ประการ คือ
- ป้องกันการสูญเสียน้ำ: ชั้นไขมันที่เซราไมด์สร้างขึ้นจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว (ลดค่า TEWL) ทำให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ดีขึ้น
- ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก: เกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงจะช่วยป้องกันไม่ให้สารก่อความระคายเคือง เชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย
เมื่อผิวขาดเซราไมด์ เกราะป้องกันผิวจะอ่อนแอลง ทำให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ และไวต่อการระคายเคือง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์จึงเป็นการเข้าไปเติมเต็มและซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไป ทำให้เกราะป้องกันผิวกลับมาแข็งแรงดังเดิม
ประเภทของเซราไมด์ที่พบบ่อยในสกินแคร์และหน้าที่หลัก
ประเภทของเซราไมด์ที่พบบ่อยที่สุดในสกินแคร์ ได้แก่ Ceramide NP, Ceramide AP และ Ceramide EOP ซึ่งแต่ละชนิดมีหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- Ceramide NP (Ceramide 3): เป็นเซราไมด์ที่มีปริมาณมากที่สุดในผิวสุขภาพดี มีหน้าที่หลักในการช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น
- Ceramide AP (Ceramide 6-II): ช่วยรักษาความเสถียรของชั้นไขมันบนผิว และรักษาสมดุลค่า pH ของผิวให้เป็นกรดอ่อนๆ
- Ceramide EOP (Ceramide 1 หรือ 9): เป็นเซราไมด์ชนิดพิเศษที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “สมอ” ช่วยยึดเหนี่ยวโครงสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ประโยชน์ของเซราไมด์ต่อปัญหาผิวที่แตกต่างกัน
สำหรับผิวแห้ง ขาดน้ำ และลอกเป็นขุย
เซราไมด์มีประสิทธิภาพสูงในการดูแลผิวแห้ง ขาดน้ำ และลอกเป็นขุย โดยการซ่อมแซมและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ซึ่งช่วยลดการสูญเสียน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว
เซราไมด์ทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มไขมันระหว่างเซลล์ผิว เปรียบเสมือน “ปูน” ที่เชื่อม “อิฐ” (เซลล์ผิว) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ส่งผลดีต่อผิวแห้งดังนี้
- ล็อคความชุ่มชื้น: สร้างชั้นไขมันที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว (ลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง หรือ TEWL) และช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดีขึ้น
- ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว: ไม่เพียงแค่ให้ความชุ่มชื้นบนพื้นผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของผิวให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ผิวสามารถรักษาความชุ่มชื้นได้ด้วยตัวเองในระยะยาว
- ลดปัญหาผิวลอกเป็นขุย: เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นที่สมดุล การผลัดเซลล์ผิวจะกลับมาเป็นปกติ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและลดอาการแห้งลอกเป็นขุย
สำหรับผิวแพ้ง่าย มีอาการแดง หรือระคายเคือง
เซราไมด์มีประโยชน์ต่อผิวแพ้ง่าย มีรอยแดง หรือระคายเคือง เนื่องจากคุณสมบัติในการซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวและต้านการอักเสบ โดยจะเข้าไปเติมเต็มไขมันที่จำเป็นซึ่งมักขาดหายไปในผิวที่มีปัญหา เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)
การเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นนี้จะช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL) และป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองเข้าสู่ผิวได้ง่าย จึงช่วยลดรอยแดง อาการคัน และการอักเสบของผิวได้ในที่สุด
สำหรับผิวที่มีริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย
เซราไมด์ช่วย ลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวที่ร่วงโรยตามวัย โดยการเติมความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
เมื่ออายุมากขึ้น ระดับเซราไมด์ในผิวจะลดลงตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแห้งกร้านและขาดความกระชับ การเติมเซราไมด์จะช่วยฟื้นฟูผิวได้ดังนี้
- เพิ่มความชุ่มชื้น: เมื่อผิวชุ่มชื้นขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ จะดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น
- เสริมโครงสร้างผิว: เซราไมด์ช่วยรักษาความแข็งแรงของโครงสร้างผิว และอาจช่วยชะลอการบางลงของผิวชั้นนอกที่เกิดจากวัย
- ทำงานร่วมกับส่วนผสมอื่น: เซราไมด์มักถูกใช้ร่วมกับส่วนผสมลดเลือนริ้วรอยอื่นๆ เช่น เรตินอล เพื่อลดการระคายเคืองและเสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้การรักษาโดยรวมมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
วิธีเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ให้ได้ผลดีที่สุด
วิธีเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ให้ได้ผลดีที่สุดคือ การเลือกสูตรและเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว ควบคู่ไปกับการใช้อย่างสม่ำเสมอ
วิธีเลือกผลิตภัณฑ์
- อ่านฉลาก: มองหาส่วนผสมที่ระบุว่า “Ceramide” ตามด้วยรหัสตัวอักษร เช่น NP, AP, EOP ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์หลายชนิดผสมกันจะช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวได้ครอบคลุมกว่า
- พิจารณาส่วนผสมอื่น: สูตรที่ดีควรมีส่วนผสมอื่นที่จำเป็นต่อเกราะป้องกันผิวด้วย เช่น คอเลสเตอรอล (Cholesterol) และ กรดไขมัน (Fatty Acids) รวมถึงส่วนผสมเสริมฤทธิ์อย่าง ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ หรือ กลีเซอรีน (Glycerin) และ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยดึงความชุ่มชื้น
- เลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิว:
- ครีม (Cream): เหมาะสำหรับผิวแห้งมากหรือผิวผู้ใหญ่
- โลชั่น (Lotion): เหมาะสำหรับผิวผสมหรือผิวแห้งเล็กน้อย
- เซรั่มหรือเจล (Serum or Gel): เหมาะสำหรับผิวมันหรือเป็นสิวง่าย
วิธีใช้ผลิตภัณฑ์
- ทาบนผิวหมาดๆ: ควรทาผลิตภัณฑ์เซราไมด์บนผิวที่ยังชื้นเล็กน้อยหลังล้างหน้า เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น
- ใช้อย่างสม่ำเสมอ: สามารถใช้ได้ทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อฟื้นฟูและรักษาเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง
- ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น: เซราไมด์เข้ากันได้ดีกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น เรตินอล หรือวิตามินซี โดยจะช่วยลดการระคายเคืองได้ดี ควรลงผลิตภัณฑ์ตามลำดับความเข้มข้นจากเนื้อบางเบาไปสู่เนื้อหนัก
การอ่านฉลาก: สิ่งที่ควรมองหาในส่วนผสม
บนฉลากส่วนผสม ให้มองหาคำว่า “Ceramide” ตามด้วยรหัสตัวอักษรหรือตัวเลข เช่น Ceramide NP, AP หรือ EOP
นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกับเซราไมด์ได้ดีและควรมองหาในผลิตภัณฑ์ ได้แก่
- โคเลสเตอรอล (Cholesterol) และกรดไขมัน (Fatty Acids): ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกับเซราไมด์เพื่อเลียนแบบโครงสร้างไขมันตามธรรมชาติของผิว ช่วยให้การซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): วิตามินบี 3 ที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์ได้เองตามธรรมชาติ
- ไฟโตสฟิงโกซีน (Phytosphingosine) หรือ สฟิงโกซีน (Sphingosine): เป็นสารตั้งต้นของเซราไมด์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
- กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): สารให้ความชุ่มชื้นที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว จากนั้นเซราไมด์จะทำหน้าที่ล็อกความชุ่มชื้นนั้นไว้
รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ในรูปแบบครีม โลชั่น หรือเซรั่ม ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล
- ครีม (Cream): เหมาะสำหรับผิวแห้งมากหรือผิวผู้ใหญ่ เนื่องจากมีเนื้อข้นและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด
- โลชั่น (Lotion): เหมาะสำหรับผิวผสมหรือผิวแห้งเล็กน้อย เพราะมีเนื้อบางเบากว่า ซึมซาบเร็ว และไม่หนักผิว
- เซรั่มหรือเจล (Serum or Gel): เหมาะสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่ายที่ต้องการเสริมเกราะป้องกันผิวโดยไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ
ส่วนผสมที่ใช้คู่กับเซราไมด์เพื่อเสริมประสิทธิภาพ
ส่วนผสมที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของเซราไมด์ได้ดีที่สุดคือ ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), คอเลสเตอรอล (Cholesterol), กรดไขมัน (Fatty Acids), กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกับเซราไมด์เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น
- ไนอะซินาไมด์: ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติได้มากขึ้น
- คอเลสเตอรอลและกรดไขมัน: เป็นส่วนประกอบไขมันที่จำเป็นอีก 2 ชนิด เมื่อทำงานร่วมกับเซราไมด์ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
- กลีเซอรีนและกรดไฮยาลูรอนิก: ทำหน้าที่เป็นสารดูดความชื้น (Humectants) ที่ดึงน้ำเข้าสู่ผิว จากนั้นเซราไมด์จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นนั้นไว้ไม่ให้ระเหยออกไป
- ส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิว: เช่น แพนทีนอล (Panthenol) หรือข้าวโอ๊ตคอลลอยด์ (Colloidal Oatmeal) ช่วยลดการอักเสบในขณะที่เซราไมด์ทำหน้าที่ซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว ซึ่งเหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย
ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเซราไมด์
เซราไมด์มีความปลอดภัยสูงและแทบไม่มีข้อควรระวังใดเป็นพิเศษ ส่วนความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ เซราไมด์จำเป็นสำหรับคนผิวแห้งเท่านั้น, ทำให้เกิดสิวอุดตัน, หรือทาไปแล้วไม่เกิดประโยชน์
ข้อควรระวัง
โดยทั่วไปแล้วเซราไมด์ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่รุนแรง หากเกิดอาการแพ้ มักมีสาเหตุมาจากส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ เช่น สารกันเสียหรือน้ำหอม ควรเก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในที่แห้งและเย็น และสังเกตวันหมดอายุ
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
- จำเป็นสำหรับผิวแห้งเท่านั้น: ไม่จริง ผิวทุกประเภทต้องการเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง แม้แต่ผิวมันก็สามารถขาดเซราไมด์ได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว
- ทำให้เกิดสิวอุดตัน: ไม่จริง เซราไมด์เป็นสารที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) และมักถูกแนะนำให้ใช้ร่วมกับยารักษาสิวเพื่อลดการระคายเคืองและอาการผิวแห้ง
- ไม่สามารถซึมซาบสู่ผิวและไม่เกิดประโยชน์: ไม่จริง หน้าที่ของเซราไมด์คือการทำงานที่ผิวชั้นนอก (Stratum Corneum) เพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวโดยตรง ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าสามารถลดการสูญเสียน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นได้จริง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเซราไมด์ (FAQ)
เซราไมด์แตกต่างจากมอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไปอย่างไร?
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์สามารถฟื้นฟูและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติได้ ในขณะที่มอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไปให้ความชุ่มชื้นเพียงชั่วคราวโดยการดึงน้ำและเคลือบผิวไว้ แต่มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์จะช่วยเติมไขมันที่จำเป็นซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวโดยตรง ทำให้สามารถซ่อมแซมโครงสร้างผิวและช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นในระยะยาว
เซราไมด์ในรูปแบบทากับแบบกิน แบบไหนดีกว่ากัน?
เซราไมด์ในรูปแบบทาบนผิวโดยตรงจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากเป็นการส่งสารสำคัญไปยังเกราะป้องกันผิวในบริเวณที่ต้องการได้ทันทีและเห็นผลชัดเจนกว่า
การทาเซราไมด์ลงบนผิวถือเป็นวิธีหลักในการจัดการกับปัญหาผิวแห้งหรือเกราะป้องกันผิวที่ถูกทำลาย ในขณะที่เซราไมด์แบบกิน (มักเป็นไฟโตเซราไมด์จากพืช) สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในได้ แต่จะทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่สามารถทดแทนการทาได้
สามารถใช้เซราไมด์ร่วมกับ Retinol หรือ Vitamin C ได้หรือไม่?
ได้ เซราไมด์สามารถใช้ร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์ (actives) แทบทุกชนิด รวมถึงเรตินอลและวิตามินซีได้เป็นอย่างดี และมักจะแนะนำให้ใช้ร่วมกันด้วย
- สำหรับเรตินอล (Retinol): การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ร่วมกับเรตินอลจะช่วยลดอาการแห้ง ระคายเคือง และลอกที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เรตินอลได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของเรตินอล
- สำหรับวิตามินซี (Vitamin C): สามารถทาเซรั่มวิตามินซีก่อน แล้วตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดจากความเป็นกรดของวิตามินซี
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
โดยทั่วไปจะรู้สึกถึงความชุ่มชื้นได้ทันที แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนสำหรับปัญหาผิวเรื้อรังในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์
ระยะเวลาในการเห็นผลขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข ดังนี้
- ทันทีหลังใช้: ผิวจะรู้สึกสบายและชุ่มชื้นขึ้น
- ภายในไม่กี่วัน: ปัญหาผิวแห้งและลอกเป็นขุยจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- 2-4 สัปดาห์: สำหรับปัญหาผิวเรื้อรัง เช่น ผิวหนังอักเสบ (Eczema) จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ประมาณ 1 เดือน: สำหรับการลดเลือนริ้วรอย ผิวจะดูเรียบเนียนขึ้นจากการที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่อง
เซราไมด์ทำให้ผิวมันหรืออุดตันได้หรือไม่?
เซราไมด์ไม่ทำให้ผิวมันหรืออุดตันรูขุมขน เนื่องจากเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และทำงานอยู่บนชั้นนอกสุดของผิวเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว โดยไม่ได้เข้าไปสะสมในรูขุมขน
ในความเป็นจริง การมีเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงอาจช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินได้ หากเกิดการอุดตันขึ้น มักมีสาเหตุมาจากส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่จากเซราไมด์โดยตรง
ผิวทุกประเภทจำเป็นต้องใช้เซราไมด์หรือไม่?
ผิวทุกประเภทได้รับประโยชน์จากการใช้เซราไมด์ เนื่องจากเซราไมด์เป็นส่วนประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว (skin barrier) ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรง
แม้ว่าผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายจะต้องการเซราไมด์มากที่สุดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป แต่ผิวประเภทอื่นก็ได้ประโยชน์เช่นกัน
- ผิวมันและเป็นสิวง่าย: เกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงสามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินและลดการระคายเคืองจากการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว
- ผิวสุขภาพดี: การใช้เซราไมด์ช่วยเสริมสร้างและปกป้องเกราะป้องกันผิวจากปัจจัยแวดล้อมที่ทำร้ายผิว เช่น มลภาวะหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาผิวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
References:
- Chen X. (2025). Skin Barrier Repair and Nursing Care in Patients with Atopic Dermatitis: A Narrative Review. International Journal of General Medicine. dovepress.com
- Berdyshev E. (2024). Skin Lipid Barrier: Structure, Function and Metabolism. Allergy, Asthma & Immunology Research, 16(5), 445–461. e-aair.org
- Akiyama F. et al. (2024). Correlations between Skin Condition Parameters and Ceramide Profiles in the Stratum Corneum of Healthy Individuals. International Journal of Molecular Sciences, 25(15), Article 8291. mdpi.com
- Aich B. et al. (2024). Clinical evaluation of a topical ceramide lotion on skin hydration and skin barrier in healthy volunteers with dry skin. CosmoDerma, 4, 148. cosmoderma.org
- Medical News Today. (2023). What are the benefits of ceramides for the skin? Medical News Today. medicalnewstoday.com
- Galderma (Cetaphil). (2023). What are ceramides, and what do they do for your skin? Cetaphil – Skin Science. cetaphil.com
