เลเซอร์กระชับรูขุมขนเหมาะกับใคร มีแบบไหนบ้าง ต้องทำกี่ครั้ง เห็นผลตอนไหน
ใครเหมาะกับการทำเลเซอร์กระชับรูขุมขน?
ผู้ที่เหมาะกับการทำเลเซอร์กระชับรูขุมขนคือ ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีปัญหารูขุมขนกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่เหมาะสมที่สุดควรมีคุณสมบัติดังนี้
- สภาพผิว: มีสภาพผิวคงที่ ไม่มีสิวอักเสบรุนแรงหรือการติดเชื้อที่ผิวหนังในขณะที่ทำ
- สภาพผิวสี: สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว แต่ผู้ที่มีผิวขาว (Fitzpatrick skin types I–III) มักจะตอบสนองได้ดีและมีความเสี่ยงต่ำ ส่วนผู้ที่มีผิวสีเข้ม (types IV–VI) ก็สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการตั้งค่าพลังงานเพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำ
- ช่วงวัย: โดยทั่วไปอยู่ในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ผู้สูงวัยที่มีปัญหารูขุมขนกว้างจากความหย่อนคล้อยหรือแสงแดดก็สามารถทำได้เช่นกัน หากมีสุขภาพดี
- ความคาดหวัง: มีความคาดหวังที่เป็นจริงว่าผลลัพธ์คือการทำให้รูขุมขนดูดีขึ้นและเล็กลง แต่ไม่ใช่การกำจัดให้หายไปอย่างสมบูรณ์
- ความพร้อม: ยินดีที่จะเข้ารับการรักษาหลายครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์อย่างเคร่งครัด
ประเภทของเลเซอร์กระชับรูขุมขน: รู้จักเทคโนโลยีที่แตกต่าง
กลุ่มเลเซอร์แบบไม่มีแผล (Non-Ablative Lasers)
เป็นกลุ่มเลเซอร์ที่ส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก ทำให้ไม่มีแผลและใช้เวลาพักฟื้นน้อย เลเซอร์กลุ่มนี้ช่วยกระชับผิวและลดการทำงานของต่อมไขมัน ส่งผลให้รูขุมขนดูเล็กลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ตัวอย่างเลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่:
- Long-pulsed Nd:YAG 1064 nm: ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและลดความมัน
- Diode lasers (ประมาณ 1450 nm): มุ่งเป้าไปที่ต่อมไขมันเพื่อลดการผลิตน้ำมันและกระตุ้นคอลลาเจน
การรักษาด้วยเลเซอร์กลุ่มนี้จำเป็นต้องทำหลายครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่มีความปลอดภัยสูงและเหมาะกับทุกสภาพผิว
กลุ่มเลเซอร์แบบมีแผลขนาดเล็ก (Fractional Lasers)
เลเซอร์กลุ่ม Fractional เป็นเทคโนโลยีที่สร้างลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กจำนวนมากลงไปในผิวหนังเป็นจุดๆ เหมือนตาราง โดยเว้นเนื้อเยื่อรอบๆ ไว้เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ซึ่งการสร้างบาดแผลขนาดเล็กนี้จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและรูขุมขนกระชับขึ้น
เลเซอร์กลุ่มนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- Ablative Fractional Lasers (ชนิดมีแผล): เช่น CO₂ และ Er:YAG เลเซอร์ชนิดนี้จะทำให้เกิดแผลขนาดเล็กบนผิวชั้นบน ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการปรับสภาพผิว แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานขึ้น (ประมาณ 5-7 วัน) และมีความเสี่ยงของผลข้างเคียงสูงกว่า
- Non-Ablative Fractional Lasers (ชนิดไม่มีแผล): เช่น Er:Glass และ Thulium เลเซอร์จะส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ มีผลข้างเคียงน้อยและใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า (ประมาณ 1-3 วัน) แต่ต้องทำหลายครั้งเพื่อให้เห็นผลชัดเจน
กลุ่มเลเซอร์พิโค (Picosecond Lasers)
เลเซอร์พิโคคือเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้นมากระดับหนึ่งในล้านล้านวินาที เพื่อสร้างแรงกระแทกเชิงกลใต้ผิวหนังแทนการใช้ความร้อนโดยตรง กลไกหลักนี้เรียกว่า Laser-Induced Optical Breakdown (LIOB) ซึ่งเป็นการสร้างฟองอากาศขนาดเล็กในชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
เนื่องจากเลเซอร์พิโคสร้างความร้อนน้อยและไม่ทำลายผิวชั้นบน จึงมีข้อดีคือ:
- ใช้เวลาพักฟื้นสั้นมาก โดยมีเพียงรอยแดงเล็กน้อยที่มักหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง
- มีความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวสีเข้มหรือชาวเอเชีย เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดรอยดำหลังการรักษา (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
- มีประสิทธิภาพในการกระชับรูขุมขน และปรับปรุงผิวสัมผัสให้เรียบเนียนขึ้น โดยงานวิจัยพบว่าให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับเลเซอร์กลุ่มอื่น แต่เจ็บน้อยกว่า
เกณฑ์การเลือกประเภทเลเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ
การเลือกประเภทเลเซอร์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทและสีผิว, สาเหตุของรูขุมขน, ระยะเวลาพักฟื้นที่ยอมรับได้ และงบประมาณ โดยต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล
ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพิจารณาเลือกประเภทเลเซอร์ ได้แก่:
- ประเภทและสีผิว: คนผิวขาวมักทนต่อเลเซอร์ที่รุนแรงได้ดีกว่า ในขณะที่คนผิวคล้ำควรใช้เลเซอร์ที่อ่อนโยนกว่า เช่น non-ablative หรือ picosecond เพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)
- สาเหตุของรูขุมขนกว้าง: หากเกิดจากผิวมัน แพทย์อาจแนะนำเลเซอร์ที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน แต่หากเกิดจากวัยที่เพิ่มขึ้นและการสูญเสียคอลลาเจน เลเซอร์ที่เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง fractional laser อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
- ระยะเวลาพักฟื้น: หากคุณสามารถพักฟื้นได้นาน (5-7 วัน) เลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว (ablative fractional) จะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่หากต้องการพักฟื้นน้อย (1-3 วัน) เลเซอร์ชนิดไม่ผลัดเซลล์ผิว (non-ablative) หรือ picosecond laser จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
- งบประมาณ: เลเซอร์ชนิดรุนแรงอาจมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งสูงแต่ต้องการจำนวนครั้งน้อยกว่า ในขณะที่เลเซอร์ชนิดอ่อนโยนจะมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งน้อยกว่าแต่อาจต้องทำหลายครั้ง
ขั้นตอนการรักษา: ต้องทำกี่ครั้งและเมื่อไหร่จะเห็นผล?
การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อกระชับรูขุมขน โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง และจะเริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นหลังจากการรักษา 1-2 ครั้งแรก ความถี่ในการรักษาจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเลเซอร์ โดยเลเซอร์ชนิดที่ไม่มีแผล (Non-ablative) และพิโคเซคเคินด์เลเซอร์ (Picosecond laser) มักทำทุกๆ 2-4 สัปดาห์ ส่วนเลเซอร์ชนิดที่มีแผล (Ablative) ซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่า อาจทำเพียง 1-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกันหลายเดือน
ไทม์ไลน์ของผลลัพธ์โดยทั่วไปมีดังนี้:
- ผลลัพธ์เบื้องต้น: ภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการรักษาครั้งแรก คุณจะเริ่มสังเกตได้ว่าผิวเรียบเนียนขึ้นและรูขุมขนดูจางลงเล็กน้อย
- ผลลัพธ์เต็มที่: ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจะปรากฏหลังจากการรักษาครั้งสุดท้ายประมาณ 2-3 เดือน และผิวจะยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีก 6-12 เดือน เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิวยังคงดำเนินต่อไป
ระยะเวลาเห็นผลและการฟื้นตัวหลังทำเลเซอร์
โดยทั่วไป ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ในไม่กี่สัปดาห์และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน ส่วนการฟื้นตัวจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเลเซอร์ โดยเลเซอร์แบบอ่อนโยนใช้เวลาพักฟื้นเพียง 1-2 วัน ในขณะที่เลเซอร์ชนิดที่ทำให้เกิดแผลอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึง 5-7 วัน
ระยะเวลาในการเห็นผล
- ผลลัพธ์เริ่มต้น: ผิวจะเริ่มเรียบเนียนขึ้นและรูขุมขนดูเล็กลงเล็กน้อยภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการรักษาครั้งแรก หรือหลังทำเลเซอร์ชนิด non-ablative ไปแล้ว 1-2 ครั้ง
- ผลลัพธ์เต็มที่: การลดขนาดของรูขุมขนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดจะปรากฏขึ้นประมาณ 2-3 เดือนหลังจากการรักษาครั้งสุดท้าย เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ต้องใช้เวลา และผิวจะยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้นานถึง 6-12 เดือน
ระยะเวลาในการฟื้นตัว (Downtime)
- เลเซอร์ชนิด Non-ablative และ Picosecond: มีระยะเวลาพักฟื้นสั้นมาก โดยอาการบวมแดงเล็กน้อยมักจะหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง
- เลเซอร์ชนิด Ablative Fractional (มีแผล): ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า โดยจะมีอาการบวมแดง และอาจมีสะเก็ดแผลเล็กๆ ประมาณ 5-7 วัน
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและความคงทนของผิวที่เรียบเนียน
โดยทั่วไปแล้วคาดว่าขนาดรูขุมขนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดประมาณ 20–50% และผลลัพธ์มักจะคงอยู่ได้นานประมาณ 3–5 ปี
ผลลัพธ์ที่ได้คือการลดขนาดหรือความหนาแน่นของรูขุมขนที่มองเห็นได้ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่กว่า 80% ได้รับการปรับปรุงในระดับ “ปานกลาง” (ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ≥50%) หลังจากการรักษาครบตามจำนวนครั้ง นอกจากนี้ เลเซอร์ยังช่วยให้ผิวโดยรวมเรียบเนียนขึ้นและลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้อีกด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำเลเซอร์นั้นค่อนข้างยาวนาน แต่ไม่ถาวร เนื่องจากกระบวนการชราตามธรรมชาติและความเสียหายจากแสงแดดจะยังคงส่งผลต่อผิวหนังต่อไป เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้นานที่สุด แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ดูแลผิวอย่างเหมาะสม และอาจพิจารณาทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิวปีละ 1-2 ครั้ง
อัตราค่าบริการเลเซอร์กระชับรูขุมขนโดยประมาณ
อัตราค่าบริการเลเซอร์กระชับรูขุมขนแตกต่างกันอย่างมากตามประเภทของเลเซอร์และภูมิภาค โดยทั่วไป ราคาต่อครั้งสามารถสรุปได้ดังนี้:
- สหรัฐอเมริกา: ประมาณ 500–2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 18,000–92,000 บาท)
- ยุโรป: ประมาณ 300–1,500 ยูโร (ประมาณ 12,000–60,000 บาท)
- เอเชียตะวันออก (เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, จีน): ประมาณ 150–800 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,500–29,000 บาท) โดยเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่จะมีราคาที่แข่งขันได้มากที่สุด
โดยทั่วไป เลเซอร์ชนิดมีแผล (ablative) จะมีราคาสูงกว่าเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (non-ablative) และเนื่องจากต้องทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ค่าใช้จ่ายโดยรวมจึงควรพิจารณาจากจำนวนครั้งที่ต้องทำทั้งหมด
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกคลินิก
การประเมินสภาพผิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การประเมินสภาพผิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำเลเซอร์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเลือกชนิดของเลเซอร์ที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละราย
ในขั้นตอนการประเมิน แพทย์จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ประเภทสีผิว (Fitzpatrick skin type): เพื่อประเมินความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวสีเข้ม
- ความรุนแรงของรูขุมขน: เพื่อเลือกชนิดและตั้งค่าพลังงานเลเซอร์ให้เหมาะสมกับปัญหา
- ประวัติทางการแพทย์: เพื่อตรวจสอบว่าคนไข้มีข้อห้ามในการทำเลเซอร์หรือไม่ เช่น การใช้ยาบางชนิด, โรคประจำตัว หรือประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์
การประเมินอย่างละเอียดจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
มาตรฐานของเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้
มาตรฐานของเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้คือต้องเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล มีการบำรุงรักษาอย่างดี และเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษา
- การรับรองมาตรฐาน: เครื่องเลเซอร์ควรได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา หรือมีเครื่องหมาย CE ในยุโรป
- เทคโนโลยีที่ทันสมัย: เครื่องเลเซอร์รุ่นใหม่มักมีคุณสมบัติขั้นสูง เช่น การปรับตั้งค่าพลังงานและความหนาแน่นของเลเซอร์ได้ละเอียด หรือมีระบบทำความเย็นในตัว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
- ความหลากหลายของเครื่องมือ: คลินิกที่มีคุณภาพมักจะมีเครื่องเลเซอร์หลายชนิด เพื่อให้สามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพผิวและปัญหาของคนไข้แต่ละราย
- การบำรุงรักษา: คลินิกต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางการแพทย์ในการบำรุงรักษาและสอบเทียบเครื่องมืออย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการฆ่าเชื้ออุปกรณ์อย่างถูกต้อง
- หลีกเลี่ยงเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน: ควรหลีกเลี่ยงคลินิกที่ใช้เครื่องเลเซอร์ที่ไม่มียี่ห้อหรือไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง
การดูแลก่อนและหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด
การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมทั้งก่อนและหลังการทำเลเซอร์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การดูแลก่อนการรักษา
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการเผชิญแสงแดดโดยตรงและการอาบแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนการรักษา
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์หรือกรดผลัดเซลล์ผิวประมาณ 5-7 วันก่อนทำเลเซอร์
- แจ้งประวัติสุขภาพ: หากมีประวัติเป็นโรคเริม แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการกำเริบ
- เตรียมผิวในวันรักษา: มาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอางหรือโลชั่น
การดูแลหลังการรักษา
- ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด: ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ เป็นประจำเมื่อผิวเริ่มแข็งแรงพอ
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน หรือเพียงน้ำเปล่า/น้ำเกลือในช่วง 2-3 วันแรก
- รักษาความชุ่มชื้น: ทามอยส์เจอไรเซอร์หรือขี้ผึ้ง (เช่น ปิโตรเลียมเจล) ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวและคงความชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว: ห้ามแกะ เกา หรือขัดผิวบริเวณที่กำลังลอกเป็นขุย
- งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือเข้าซาวน่าประมาณ 2-3 วัน เพื่อลดการอักเสบ
- งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด: หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (active ingredients) เช่น เรตินอยด์หรือกรดต่างๆ จนกว่าแพทย์จะอนุญาต (โดยทั่วไปประมาณ 1-2 สัปดาห์)
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการทำเลเซอร์
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการแดง บวม และเจ็บเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเอง ส่วนความเสี่ยงที่สำคัญกว่าคือการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และแผลเป็นซึ่งพบได้ยาก
ผลข้างเคียง ความเสี่ยง และข้อควรระวังที่สำคัญมีดังนี้
- ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:
- อาการแดงและบวม: เกิดขึ้นทันทีหลังทำ โดยทั่วไปจะหายไปใน 2-3 วันสำหรับเลเซอร์ชนิดอ่อนโยน และนาน 5-7 วันสำหรับเลเซอร์ชนิดมีแผล
- อาการคัน แห้ง และลอก: เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูผิว โดยเฉพาะหลังทำเลเซอร์ชนิดมีแผล
- ความเจ็บปวด: รู้สึกเหมือนโดนดีดหรือแสบร้อนระหว่างทำ สามารถจัดการได้ด้วยยาชาเฉพาะที่และการประคบเย็น
- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน:
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): เป็นความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม ซึ่งผิวอาจมีสีคล้ำขึ้นชั่วคราวหลังทำเลเซอร์
- แผลเป็น: พบได้น้อยมาก (<1%) มักเกิดจากการตั้งค่าพลังงานที่รุนแรงเกินไป หรือในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
- การติดเชื้อ: อาจเกิดการกำเริบของโรคเริมหรือการติดเชื้อแบคทีเรียหากดูแลแผลไม่ดีพอ
- ข้อห้ามและข้อควรระวัง:
- ผู้ที่กำลังมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น สิวอักเสบรุนแรง หรือเริม
- ผู้ที่ใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ หรือมีภาวะไวต่อแสง
- ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดและการใช้ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสงก่อนทำเลเซอร์
สรุป: เลือกวิธีการเลเซอร์กระชับรูขุมขนที่เหมาะกับคุณ
การเลือกเลเซอร์กระชับรูขุมขนที่เหมาะสมที่สุดคือการพิจารณาสภาพผิว สาเหตุของรูขุมขน ระยะเวลาพักฟื้นที่ยอมรับได้ และงบประมาณ โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การตัดสินใจร่วมกับแพทย์ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- สาเหตุของรูขุมขน: หากเกิดจากผิวมัน อาจเหมาะกับเลเซอร์ที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน แต่หากเกิดจากวัยและความหย่อนคล้อย อาจเหมาะกับเลเซอร์ที่เน้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- ระยะเวลาพักฟื้น: เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative) ให้ผลลัพธ์ชัดเจนแต่ต้องพักฟื้นนาน (ประมาณ 5-7 วัน) ในขณะที่เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative) และพิโคเลเซอร์ (Picosecond) แทบไม่ต้องพักฟื้น แต่เห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไปและต้องทำหลายครั้ง
- สีผิว: ผู้ที่มีผิวสีเข้มมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) ได้ง่ายกว่า ดังนั้นแพทย์อาจแนะนำเลเซอร์กลุ่มที่อ่อนโยนกว่า เช่น พิโคเลเซอร์ เพื่อลดความเสี่ยง
- งบประมาณ: เลเซอร์ชนิดที่รุนแรงอาจมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งสูงแต่ทำน้อยครั้งกว่า ในขณะที่เลเซอร์ชนิดอ่อนโยนจะมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งน้อยกว่าแต่ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เลเซอร์กระชับรูขุมขนเจ็บไหม?
ระดับความเจ็บปวดจากการทำเลเซอร์กระชับรูขุมขนนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้และความทนทานต่อความเจ็บปวดของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปความรู้สึกจะคล้ายกับหนังยางดีดเบาๆ หรือรู้สึกอุ่นๆ บนผิว
- เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative): เจ็บน้อยที่สุด มักจะใช้เพียงยาชาเฉพาะที่แบบทาหรือการเป่าลมเย็นก็เพียงพอ
- เลเซอร์ชนิดมีแผลแบบ Fractional (Ablative Fractional): จะเจ็บกว่าและอาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ การบล็อกเส้นประสาท หรือยาระงับความรู้สึกร่วมด้วย
- เลเซอร์พิโค (Picosecond): อาจให้ความรู้สึกเจ็บลึกๆ แต่ใช้เวลาทำไม่นาน และผู้ป่วยหลายคนรู้สึกว่าเจ็บน้อยกว่าเลเซอร์กลุ่ม Fractional
โดยรวมแล้ว คลินิกส่วนใหญ่มีวิธีการจัดการความเจ็บปวด เช่น การทายาชาและการใช้เครื่องเป่าลมเย็น เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายที่สุดระหว่างการรักษา
ผลลัพธ์จากการทำเลเซอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยเฉลี่ยแล้ว ผลลัพธ์จากการทำเลเซอร์กระชับรูขุมขน สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 3-5 ปี ก่อนที่ขนาดรูขุมขนจะเริ่มกลับมาขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ถาวร เนื่องจากกระบวนการชราตามธรรมชาติและการทำร้ายจากแสงแดดจะยังคงส่งผลต่อผิว ทำให้คอลลาเจนลดลงและรูขุมขนอาจกลับมาขยายใหญ่ขึ้นได้อีกครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้นานขึ้น แนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำ และอาจทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิวปีละ 1-2 ครั้งตามคำแนะนำของแพทย์
สามารถทำเลเซอร์ร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่?
ได้ การทำเลเซอร์รักษารูขุมขนสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ โดยการรักษาแบบผสมผสานนี้จะช่วยจัดการสาเหตุของรูขุมขนกว้างได้หลายด้านพร้อมกัน
หัตถการที่นิยมทำร่วมกับเลเซอร์ ได้แก่
- Microneedling หรือ RF Microneedling: ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติม สามารถทำสลับกับการทำเลเซอร์ได้
- Chemical Peels (การผลัดเซลล์ผิว): ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนและลดความมัน มักทำก่อนเริ่มคอร์สเลเซอร์หรือทำระหว่างครั้งเพื่อคงผลลัพธ์
- Injectables (สารฉีด): เช่น Micro-Botox เพื่อลดการทำงานของต่อมไขมัน หรือ Skin Booster (เช่น Hyaluronic Acid, Polynucleotides) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว ซึ่งสามารถทำร่วมกับการทำเลเซอร์ได้
การรักษาแบบผสมผสานนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนลำดับและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนเข้ารับการรักษา?
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์ที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงแสงแดดและหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบางชนิด เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
แนวทางการเตรียมตัวโดยทั่วไปมีดังนี้:
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการโดนแดดจัดและการอาบแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนการรักษา และทาครีมกันแดด SPF 30+ เป็นประจำ
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด: หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ กรดผลัดเซลล์ผิว หรือผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองประมาณ 5-7 วันก่อนทำเลเซอร์
- แจ้งประวัติสุขภาพ: หากมีประวัติเป็นโรคเริม แพทย์อาจสั่งยาต้านไวรัสให้รับประทานเพื่อป้องกันการกำเริบของโรค
- งดใช้ยาบางกลุ่ม: ควรหยุดใช้ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด ก่อนเข้ารับการรักษา
- ทำความสะอาดผิว: ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอางหรือโลชั่น
รูขุมขนกว้างเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
รูขุมขนกว้างเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ การผลิตน้ำมันบนผิว (ซีบัม) มากเกินไป, ความยืดหยุ่นของผิวลดลง และการอุดตันของรูขุมขน โดยแต่ละสาเหตุมีรายละเอียดดังนี้
- การผลิตน้ำมันมากเกินไป: ต่อมไขมันที่ทำงานมากเกินไปจะผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณมาก ซึ่งจะเข้าไปสะสมในรูขุมขนพร้อมกับสิ่งสกปรก ทำให้รูขุมขนขยายและดูกว้างขึ้น
- ความยืดหยุ่นของผิวลดลง: อายุที่มากขึ้นและการทำร้ายจากแสงแดดจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวสูญเสียความกระชับ เมื่อโครงสร้างผิวรอบรูขุมขนอ่อนแอลง รูขุมขนจึงขยายตัวและดูใหญ่ขึ้น
- การอุดตันของรูขุมขน: เมื่อน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมจนอุดตันปากรูขุมขน (เกิดเป็นสิวอุดตัน เช่น สิวหัวดำ) รูขุมขนจะถูกยืดออกเพื่อรองรับสิ่งอุดตันนั้น ทำให้มองเห็นว่ามีขนาดใหญ่ขึ้น
การทำเลเซอร์ช่วยให้รูขุมขนหายไปถาวรหรือไม่?
การทำเลเซอร์ไม่สามารถทำให้รูขุมขนหายไปได้อย่างถาวร แต่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 3–5 ปี ก่อนที่รูขุมขนจะค่อยๆ กลับมามองเห็นได้ชัดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากกระบวนการแก่ชราตามธรรมชาติและการทำร้ายจากปัจจัยแวดล้อมยังคงดำเนินต่อไป
เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้นานที่สุด แพทย์มักแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทาครีมกันแดดทุกวัน และอาจทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิวปีละ 1-2 ครั้ง
References:
- RealSelf. (n.d.). Laser Skin Resurfacing: Average Cost and Reviews. RealSelf. realself.com
- Jung, J.Y. (n.d.). Picosecond laser-induced optical breakdown for dermal remodeling in photoaged skin. Frontiers in Medicine (Dermatology). frontiersin.org
- CloudHospital. (n.d.). The Korean Solution for Large Pores: A Deep Dive into Advanced Dermatology. CloudHospital Articles. icloudhospital.com
- Koreaclinicguide. (n.d.). Koreaclinicguide. koreaclinicguide.com
- Mayoclinic. (n.d.). Mayoclinic. mayoclinic.org
- Nih. (n.d.). Nih. nih.gov
- Niklasnoack. (n.d.). Niklasnoack. niklasnoack.de
- Placidway. (n.d.). Placidway. placidway.com
- Liu, X., et al. (n.d.). Split-face trial of 1064-nm picosecond laser (MLA) vs. 1565-nm non-ablative laser for enlarged pores. Lasers in Medical Science. springer.com
- Utah Facial Plastics. (n.d.). How Long Does Laser Skin Resurfacing Last? Utah Facial Plastics Blog. utahfacialplastics.com
- Palawisuth, S., et al. (n.d.). Long-term efficacy and safety of a 1064-nm picosecond laser with microlens array for enlarged pores in Asians. Lasers in Surgery and Medicine. wiley.com

