เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ คุ้มไหม 2568
ใครเหมาะกับเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น และใครควรเลี่ยง
ชนิดแผลเป็นที่ตอบสนองดี และเกณฑ์คัดเลือก
แผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ดีคือแผลเป็นหลุม (Atrophic) แผลเป็นนูน (Hypertrophic) และคีลอยด์ในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะพิจารณาจากชนิดของแผลเป็น สีผิว และแนวโน้มการหายของแผลเป็นหลัก
แผลเป็นแต่ละชนิดตอบสนองต่อเลเซอร์ต่างกัน ดังนี้
- แผลเป็นหลุม (Atrophic scars): เช่น หลุมสิวหรือหลุมอีสุกอีใส ตอบสนองได้ดีกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มหลุมแผลเป็น
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) และคีลอยด์ระยะเริ่มต้น: สามารถทำให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้นได้ด้วยเลเซอร์กลุ่มหลอดเลือด (Vascular laser) หรือเลเซอร์กลุ่ม Fractional
เกณฑ์สำคัญที่แพทย์ใช้ในการคัดเลือกผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ได้แก่
- ชนิดและตำแหน่งของแผลเป็น: เพื่อเลือกชนิดของเลเซอร์ที่เหมาะสม
- สีผิวของผู้ป่วย: ผู้ที่มีผิวสีเข้มต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำเลเซอร์
- ประวัติการรักษาและแนวโน้มการหายของแผล: เช่น ประวัติการเกิดคีลอยด์ง่าย
- ความคาดหวังของผู้ป่วย: ควรคาดหวังผลลัพธ์เป็นการ “ดีขึ้น” ไม่ใช่ “หายสนิท”
- ความพร้อมในการเข้ารับการรักษาหลายครั้ง: การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อห้าม โรคประจำตัว ยา และปัจจัยเสี่ยง
ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลเซอร์รอยแผลเป็นคือ การใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา การติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะทำ และโรคที่ไวต่อแสงบางชนิด นอกจากนี้ยังมีโรคประจำตัว ยา และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนทำการรักษา
ข้อห้ามเด็ดขาด (Absolute Contraindications)
- การใช้ยา Isotretinoin: ผู้ที่รับประทานยาไอโซเตรติโนอิน (ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเสี่ยงที่แผลจะหายช้าผิดปกติ
- การติดเชื้อ: มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส (เช่น เริม) หรือเชื้อราในบริเวณที่จะทำการรักษา
- โรคไวต่อแสง: เป็นโรคที่ไวต่อแสงบางชนิด
ข้อควรระวังเป็นพิเศษ (Relative Contraindications) และปัจจัยเสี่ยง
- ประวัติแผลเป็น: ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน (Hypertrophic) หรือคีลอยด์ง่าย มีความเสี่ยงสูงที่แผลจะหายผิดปกติ
- โรคประจำตัว:
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune)
- โรคผิวหนังอักเสบที่กำลังกำเริบ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือผื่นผิวหนังอักเสบ
- ภาวะเลือดออกผิดปกติ
- ผู้ที่มีประวัติเป็นเริม (อาจต้องได้รับยาต้านไวรัสเพื่อป้องกัน)
- ยาที่ใช้เป็นประจำ:
- ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants)
- ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น Doxycycline
- ปัจจัยอื่นๆ:
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร (มักจะแนะนำให้เลื่อนการรักษาออกไปก่อน)
- ผู้ที่มีฟิลเลอร์ชนิดถาวรหรือไหมที่ไม่ละลายในบริเวณที่จะทำเลเซอร์
- ผู้ที่มีผิวสีเข้ม ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำเลเซอร์
หลักฐานเชิงวิชาการ และมาตรฐานวิชาชีพ
ประสิทธิภาพของการเลเซอร์รอยแผลเป็นได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิชาการจำนวนมาก และมาตรฐานวิชาชีพกำหนดให้การรักษาต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรอง โดยใช้ระเบียบวิธีที่อิงตามหลักฐานเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิผลสูงสุด
หลักฐานทางวิชาการ
- งานวิจัยทางคลินิก: การศึกษาจำนวนมากยืนยันว่าเลเซอร์สามารถลดเลือนรอยแผลเป็นได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น รอยแผลเป็นชนิดหลุมสิว (Atrophic scars) ดีขึ้น 40-75% และรอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) ดีขึ้นถึง 83% หลังการรักษาหลายครั้ง
- ฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญ: มีความเห็นพ้องต้องกันในวงการแพทย์ว่าเลเซอร์เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการจัดการรอยแผลเป็น สามารถทำให้รอยจางลงและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนังได้จริงเมื่อทำโดยผู้มีประสบการณ์
- การรักษาร่วม: มีหลักฐานสนับสนุนว่าการใช้เลเซอร์ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น การฉีดสเตียรอยด์ หรือการทำ Subcision ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว โดยเฉพาะในรอยแผลเป็นที่รักษายาก
มาตรฐานวิชาชีพ
- คุณสมบัติผู้ให้บริการ: ควรเลือกแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง (Board-certified) และมีประสบการณ์สูงด้านการใช้เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
- มาตรฐานคลินิก: สถานพยาบาลต้องใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่ทันสมัยและได้รับการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ (เช่น FDA) พร้อมทั้งมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น การป้องกันดวงตา การใช้เทคนิคปลอดเชื้อ และการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
- การประเมินผู้ป่วย: แพทย์ต้องทำการประเมินอย่างละเอียด ทั้งชนิดของแผลเป็น ประเภทผิว และประวัติทางการแพทย์ เพื่อปรับตั้งค่าพลังงานเลเซอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- การดูแลต่อเนื่อง: การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังทำ และการนัดหมายเพื่อติดตามผล ถือเป็นส่วนสำคัญของการรักษาที่มีคุณภาพ
ประเภทเลเซอร์รักษารอยแผลเป็น และวิธีเลือกให้เหมาะ
Fractional กับ Non‑fractional ต่างกันอย่างไร
เลเซอร์แบบ Fractional แตกต่างจาก Non-fractional (หรือ Full-field) ตรงที่ การปล่อยพลังงานลงไปเป็นจุดเล็กๆ จำนวนมาก โดยมีผิวหนังปกติคั่นกลางระหว่างจุด ในขณะที่เลเซอร์แบบ Non-fractional จะรักษาผิวทั้งบริเวณอย่างต่อเนื่องเต็มพื้นที่
การเว้นผิวหนังปกติไว้ของเทคโนโลยี Fractional ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาแบบดั้งเดิมที่ลงเต็มพื้นที่
พารามิเตอร์หลัก และจำนวนครั้งโดยประมาณ
พารามิเตอร์หลักในการปรับเลเซอร์รักษารอยแผลเป็น ได้แก่ ความหนาแน่นของพลังงาน (Fluence) ระยะเวลาของพัลส์ (Pulse duration) และขนาดของจุดเลเซอร์ (Spot size) โดยจำนวนครั้งในการรักษาโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 ครั้ง แต่จะแตกต่างกันไปตามชนิดของแผลเป็น
พารามิเตอร์ที่แพทย์ใช้ในการปรับตั้งค่าเลเซอร์ประกอบด้วย:
- ความหนาแน่นของพลังงาน (Fluence) และระยะเวลาของพัลส์ (Pulse duration): ใช้ควบคุมความเข้มและความร้อนที่ส่งลงไปในผิวหนัง โดยจะปรับให้สูงขึ้นสำหรับแผลเป็นที่หนา และปรับให้ต่ำลงสำหรับผิวแพ้ง่ายหรือผิวคล้ำ
- ขนาดของจุดเลเซอร์ (Spot size): มีผลต่อความแม่นยำและความลึกของการรักษา โดยใช้ขนาดเล็กสำหรับพื้นที่เฉพาะจุด และขนาดใหญ่สำหรับพื้นที่กว้าง
สำหรับจำนวนครั้งในการรักษาโดยประมาณ มีดังนี้:
- แผลเป็นหลุมสิว: การทำเลเซอร์ชนิด Fractional ประมาณ 3-4 ครั้ง สามารถช่วยให้รอยแผลเป็นดีขึ้น 50-80%
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic): การทำเลเซอร์หลอดเลือด (Vascular laser) ประมาณ 3-5 ครั้ง สามารถช่วยให้แผลเป็นค่อยๆ เรียบเนียนและจางลงได้
ทั้งนี้ จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษาและความรุนแรงของแผลเป็นแต่ละบุคคล โดยจะทำการรักษาต่อเนื่องจนกว่าผลลัพธ์จะเป็นที่น่าพอใจ
เกณฑ์เลือกวิธีตามชนิดแผล และสีผิว
การเลือกเลเซอร์จะพิจารณาจากชนิดของแผลเป็นและสีผิวของผู้รับการรักษาเป็นหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง โดยมีเกณฑ์การเลือกดังนี้
- ตามชนิดของแผลเป็น:
- แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars): เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้แผลตื้นขึ้น สำหรับแผลไม่ลึกมากหรือผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น อาจใช้เลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative Fractional แทน
- แผลเป็นนูนและคีลอยด์ (Hypertrophic & Keloid Scars): มักใช้เลเซอร์กลุ่ม Vascular Laser (เช่น Pulsed-Dye Laser) เพื่อลดรอยแดงและทำให้แผลเรียบเนียนขึ้น และอาจใช้ร่วมกับ Fractional Laser เพื่อปรับผิวสัมผัส ในกรณีที่เป็นมากมักต้องทำร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์
- ตามสีผิว:
- ผู้มีผิวคล้ำ: ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยแพทย์มักเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสูง เช่น 1064 nm Nd:YAG ซึ่งสามารถผ่านชั้นผิวหนังที่มีเม็ดสีไปได้ลึกกว่า เพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำ (PIH) และจะใช้พลังงานที่ต่ำกว่าปกติ
การรักษาร่วมเสริม เช่นยาทา และหัตถการ
การรักษาร่วมเสริมที่ใช้ควบคู่กับการเลเซอร์แผลเป็นมีหลายวิธี เช่น การฉีดสเตียรอยด์, การใช้แผ่นซิลิโคน, และการตัดพังผืดใต้แผลเป็น (Subcision) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การรักษาร่วมเสริมที่สำคัญซึ่งมักใช้ควบคู่ไปกับการทำเลเซอร์ ได้แก่:
- การฉีดสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroids): เป็นวิธีหลักสำหรับรักษาแผลเป็นนูน (Hypertrophic) และคีลอยด์ โดยสเตียรอยด์จะช่วยลดการสร้างคอลลาเจนและทำให้แผลเป็นแบนราบลง
- แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone Gel Sheeting): การใช้แผ่นซิลิโคนแปะบนแผลเป็นทุกวันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้น มักใช้ต่อเนื่องระหว่างการทำเลเซอร์แต่ละครั้ง
- การตัดพังผืดใต้แผลเป็น (Subcision): เป็นหัตถการที่ใช้สำหรับแผลเป็นหลุมชนิดแอ่ง (Rolling Scars) โดยแพทย์จะใช้เข็มสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งแผลไว้ ทำให้แผลเป็นยกตัวขึ้น ก่อนที่จะใช้เลเซอร์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อปรับผิวให้เรียบเนียน
- หัตถการอื่นๆ: การทำ Microneedling หรือคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) สามารถใช้สลับกับการทำเลเซอร์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนเช่นกัน
- ยาทา: แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาทา เช่น สารสกัดจากหัวหอม, วิตามินซี หรือไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เพื่อช่วยให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น
ราคาเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น และปัจจัยที่กำหนดราคา
ขนาดและชนิดแผลเป็น กับพื้นที่รักษา
ขนาด ชนิดของแผลเป็น และพื้นที่ที่ทำการรักษาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายและวิธีการรักษา โดยแพทย์จะประเมินปัจจัยเหล่านี้เพื่อเลือกชนิดของเลเซอร์และกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
- ขนาดและพื้นที่: แผลเป็นขนาดเล็กจะมีราคาถูกกว่าแผลเป็นขนาดใหญ่หรือการรักษาทั่วทั้งบริเวณ เช่น การรักษาแผลเป็นขนาดเล็กกว่า 1 ซม. อาจมีราคาเริ่มต้นที่ 950 บาทต่อครั้ง ในขณะที่การรักษาแผลเป็นจากสิวทั่วใบหน้าจะมีราคาสูงกว่า
- ชนิดของแผลเป็น: แผลเป็นแต่ละชนิดต้องการเลเซอร์และเทคนิคที่แตกต่างกัน เช่น แผลเป็นหลุมสิว (Atrophic) เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional CO₂ ในขณะที่แผลเป็นนูน (Hypertrophic) หรือคีลอยด์ (Keloid) อาจต้องใช้เลเซอร์ร่วมกับการฉีดยา ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายโดยรวม
จำนวนครั้ง ค่ามือแพทย์ และมาตรฐานคลินิก
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยแผลเป็น ได้แก่ ขนาดและประเภทของแผลเป็น เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิก โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ต้องทำการรักษา
ปัจจัยที่มีผลต่อราคามีดังนี้:
- ขนาด ประเภท และความรุนแรงของแผลเป็น: แผลเป็นขนาดเล็กจะมีราคาถูกกว่าแผลเป็นขนาดใหญ่หรือบริเวณกว้าง เช่น ทั่วใบหน้า นอกจากนี้ แผลเป็นที่รักษายาก เช่น แผลเป็นนูน (Hypertrophic) หรือคีลอยด์ (Keloid) อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
- เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้: เลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Picosecond laser หรือ CO₂ fractional laser จะมีราคาสูงกว่าเลเซอร์ทั่วไป เนื่องจากต้นทุนของเครื่องมือที่สูงกว่า
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานคลินิก: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและคลินิกที่มีชื่อเสียงในเมืองใหญ่มักมีค่าบริการสูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและคุณภาพการบริการ
- จำนวนครั้งและแพ็กเกจ: ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ต้องทำ แต่คลินิกส่วนใหญ่มักมีแพ็กเกจเหมาจ่าย ซึ่งจะทำให้ราคาเฉลี่ยต่อครั้งถูกลง
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: ราคาที่เสนออาจยังไม่รวมค่าปรึกษา ยาชา หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ ซึ่งอาจต้องจ่ายแยกต่างหาก
คุ้มไหม ประเมินงบเทียบผลลัพธ์ที่คาดหวัง
การเลเซอร์รอยแผลเป็นถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางถึงรุนแรง เนื่องจากให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและยาวนานเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
แม้ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นจะสูงกว่าการรักษาด้วยวิธีทายา แต่เลเซอร์สามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนกว่า โดยผลการศึกษาพบว่ารอยแผลเป็นบางชนิดสามารถดีขึ้นได้มาก เช่น
- รอยแผลเป็นหลุมสิว: อาจดีขึ้น 50–80% ในด้านความลึกและการมองเห็นหลังทำเลเซอร์หลายครั้ง
- รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic): อาจเรียบเนียนและจางลงกว่า 70%
ค่าใช้จ่ายในประเทศไทยต่อครั้งมีตั้งแต่หลักร้อยบาทสำหรับแผลขนาดเล็ก ไปจนถึงหลายพันบาทสำหรับแผลเป็นสิวทั่วใบหน้าหรือการใช้เลเซอร์เทคโนโลยีสูง ซึ่งเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่คงอยู่ยาวนานจึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์ ระยะฟื้นตัว และต้องทำกี่ครั้ง
เริ่มเห็นผลเมื่อไหร่ และระดับการเปลี่ยนแปลง
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังการรักษาครั้งแรก แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นหลังการรักษาต่อเนื่องหลายครั้ง และจะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ชัดเจนในเวลาประมาณ 3-12 เดือน
การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกอาจไม่ชัดเจนนัก แต่ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละครั้งที่ทำการรักษา โดยระดับการเปลี่ยนแปลงจะขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็นและความรุนแรง
- แผลเป็นหลุมสิว: หลังการรักษาด้วยเลเซอร์แบบ Fractional ประมาณ 3-4 ครั้ง แผลเป็นอาจมีความลึกและความชัดเจนลดลง 50-80%
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic): แผลเป็นสามารถเริ่มเรียบและจางลงหลังการรักษาด้วยเลเซอร์เส้นเลือด (Vascular laser) 2-3 ครั้ง และอาจเรียบเนียนขึ้นกว่า 70% หลังจากผ่านไปหลายเดือน ซึ่งมักจะต้องใช้การรักษาร่วมกับวิธีอื่น
Timeline ฟื้นตัว อาการชั่วคราว และการดูแล
ระยะเวลาฟื้นตัวหลังเลเซอร์รอยแผลเป็นจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเลเซอร์ โดยเลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative) ต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative) จะใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่ามาก เพียง 1-3 วัน หรืออาจกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ในวันถัดไป
อาการชั่วคราวและการดูแลหลังทำเลเซอร์มีดังนี้
อาการชั่วคราวที่พบได้
- เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative Lasers):
- บวม: เกิดขึ้นได้ในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก
- แดง: อาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ถึง 1-3 เดือน
- อื่นๆ: อาจมีของเหลวซึม สะเก็ด ผิวลอก รู้สึกคันหรือตึงผิว
- เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative Lasers):
- บวมและแดงเล็กน้อย: เป็นอยู่ประมาณ 1-3 วัน หรือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
- ผิวลอก: ลอกเพียงเล็กน้อยคล้ายผิวไหม้แดด
- รอยช้ำ (สำหรับ Pulsed-Dye Laser): อาจเกิดรอยช้ำสีม่วงซึ่งจะหายไปใน 7-10 วัน
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์
- ทำความสะอาดแผลอย่างอ่อนโยน และทาขี้ผึ้ง (Ointment) เพื่อรักษาความชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือขัดถูสะเก็ด เพราะอาจทำให้ติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็นได้
- ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด โดยใช้ครีมกันแดด SPF 30+ เป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันรอยดำ
- งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น ซาวน่า หรือออกกำลังกายหนัก ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดต่างๆ จนกว่าผิวจะฟื้นตัวเต็มที่
การคงอยู่ระยะยาว และการดูแลต่อเนื่อง
ผลลัพธ์ของการเลเซอร์รอยแผลเป็นนั้น โดยทั่วไปมีความคงทนและอยู่ได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรอยแผลเป็นชนิดหลุม (atrophic scars) ซึ่งเมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเติมเต็มแล้ว ผลลัพธ์มักจะคงอยู่ถาวร อย่างไรก็ตาม รอยแผลเป็นบางชนิด เช่น คีลอยด์และแผลเป็นนูน มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ (คีลอยด์มีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำสูงถึง 50% หรือมากกว่า) จึงอาจต้องมีการดูแลและรักษาเพิ่มเติมเพื่อควบคุม
การดูแลต่อเนื่องเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุดประกอบด้วย:
- การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด: เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นมีสีเข้มขึ้น
- การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมเพื่อรักษาสุขภาพผิวโดยรวม
- การติดตามผลกับแพทย์: การนัดติดตามผลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประเมินผลลัพธ์ จัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และพิจารณาการรักษาเพิ่มเติมหากจำเป็น เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อควบคุมคีลอยด์ที่เริ่มกลับมาเป็นซ้ำ
- การรักษาเพื่อคงสภาพ (Maintenance): ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาเป็นครั้งคราว เช่น การทำเลเซอร์ซ้ำปีละครั้งเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน หรือการฉีดยาเพื่อป้องกันการกลับมาของแผลเป็น
เตรียมตัวก่อนทำ และดูแลหลังเลเซอร์แผลเป็น
ก่อนทำ: หยุดยาบางชนิด เลี่ยงแดด และเตรียมผิว
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์รอยแผลเป็นเกี่ยวข้องกับการหยุดยาบางชนิด การหลีกเลี่ยงแสงแดด และการเตรียมผิวตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โดยทั่วไป การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์มีดังนี้:
- การหยุดยาและผลิตภัณฑ์บางชนิด:
- หยุดใช้ยาในกลุ่ม Isotretinoin (ยารักษาสิว) อย่างน้อย 6–12 เดือนก่อนทำเลเซอร์
- หยุดยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง (เช่น Doxycycline) และยาละลายลิ่มเลือด (เช่น แอสไพริน) ตามคำแนะนำของแพทย์
- งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลไม้ (AHA/BHA) หลายวันก่อนทำเลเซอร์
- การหลีกเลี่ยงแสงแดด:
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดและงดใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิว (self-tanning) เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะสีผิวเข้มขึ้นผิดปกติหลังการรักษา
- การเตรียมผิว:
- ผู้ที่มีประวัติเป็นเริมอาจต้องรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการกำเริบ
- แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ครีมบางชนิด เช่น สารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี (ในผู้ที่มีผิวคล้ำ) เพื่อเตรียมผิว
- ในวันนัดหมาย จะมีการทำความสะอาดผิวและทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำเลเซอร์ประมาณ 30–60 นาที
หลังทำ: ลดบวมแดง กันแดด และหลีกเลี่ยงความร้อน
การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์เพื่อลดอาการบวมแดง ป้องกันแสงแดด และหลีกเลี่ยงความร้อน สามารถทำได้โดยการประคบเย็น ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และงดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนหรือเหงื่อออกมากในช่วงแรก
- ลดบวมแดง: สามารถจัดการได้ด้วยการประคบเย็น และนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วง 2-3 คืนแรกหลังทำเลเซอร์
- ป้องกันแสงแดด: เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องทาครีมกันแดด (แนะนำ SPF 30+ ที่มีส่วนผสมของ Zinc/Titanium) ทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงความร้อน: ควรหลีกเลี่ยงแหล่งความร้อนสูง เช่น การเข้าซาวน่า อ่างน้ำร้อน หรือการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการอักเสบที่เพิ่มขึ้น
สัญญาณอันตราย เมื่อควรติดต่อแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ควรติดต่อแพทย์ทันทีหลังทำเลเซอร์แผลเป็นคือ อาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อ การกำเริบของโรคเริม หรือปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ซึ่งรวมถึงอาการดังต่อไปนี้
- สัญญาณการติดเชื้อ: มีรอยแดงที่ลุกลาม, อาการปวดเพิ่มขึ้น, รู้สึกร้อนบริเวณที่รักษา, มีหนองไหล หรือมีไข้
- การกำเริบของโรคเริม: มีตุ่มน้ำใสเป็นกลุ่มหรือแผลพุพองใหม่เกิดขึ้น
- ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา: หากทำเลเซอร์ใกล้ดวงตาแล้วเกิดอาการปวดตาหรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลง ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน
- อาการผิดปกติอื่นๆ: หากมีอาการใดๆ ที่ดูรุนแรงกว่าที่คาดไว้หรือไม่เป็นไปตามกระบวนการฟื้นตัวตามปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ตัดสินใจเลือกการรักษาและคลินิกอย่างมั่นใจ
เกณฑ์เลือกวิธีให้เหมาะกับชนิดแผลของคุณ
การเลือกเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของแผลเป็น รวมถึงสีผิวของผู้เข้ารับการรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแผลเป็นแต่ละประเภท
- แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars): เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative เช่น CO₂ หรือ Er:YAG ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแผลเป็นหลุมที่ไม่ลึกมากหรือผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น อาจเลือกใช้เลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative Fractional แทน
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars) และคีลอยด์ระยะเริ่มต้น: เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Vascular Laser เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL) เพื่อลดความแดงและทำให้แผลเป็นแบนราบลง หรืออาจใช้ Fractional Laser เพื่อปรับปรุงผิวสัมผัส
- คีลอยด์ที่แข็งและเป็นมานาน: มักไม่ค่อยตอบสนองต่อการทำเลเซอร์เพียงอย่างเดียว และจำเป็นต้องใช้การรักษาร่วมกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์ร่วมกับการทำเลเซอร์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- ผู้ที่มีสีผิวเข้ม: ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยแพทย์อาจเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำ (PIH) ต่ำ เช่น เลเซอร์ Nd:YAG หรือเลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative Fractional
คุณวุฒิแพทย์ เครื่องมือ และมาตรฐานคลินิก
ควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นโดยเฉพาะ ใช้เครื่องเลเซอร์ที่ทันสมัยและผ่านการรับรองจาก FDA ในคลินิกที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยและความสะอาด การเลือกผู้ให้บริการและสถานพยาบาลที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยในการรักษา
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกมีดังนี้
- คุณวุฒิและประสบการณ์ของแพทย์
- ความเชี่ยวชาญ: ควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง (Dermatologist) ที่ผ่านการฝึกอบรมและมีความเข้าใจในประเภทของแผลเป็นและสภาพผิวที่แตกต่างกัน
- ประสบการณ์: ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์โดยตรง โดยเฉพาะประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นชนิดเดียวกับที่คุณมี (เช่น แผลเป็นสิว แผลเป็นนูน หรือคีลอยด์)
- เครื่องมือและเทคโนโลยี
- มาตรฐานเครื่องมือ: คลินิกควรใช้เครื่องเลเซอร์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) และมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- ความหลากหลาย: คลินิกที่มีเครื่องเลเซอร์หลายชนิดจะสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับแผลเป็นแต่ละประเภทได้ดีกว่า
- มาตรฐานของคลินิก
- ความปลอดภัย: มีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น การใช้อุปกรณ์ป้องกันดวงตา การทดสอบเลเซอร์บนผิวหนัง (Patch Test) หากจำเป็น และมีแผนรับมือภาวะแทรกซ้อน
- ความสะอาด: ห้องทรีตเมนต์และอุปกรณ์ต้องสะอาดและปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังทำเลเซอร์
- การให้ข้อมูลและการติดตามผล: คลินิกที่ดีจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาอย่างละเอียด มีการแจ้งค่าใช้จ่ายที่โปร่งใส และที่สำคัญคือมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษา ซึ่งจำเป็นต่อการประเมินผลและปรับแผนการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
วางแผนงบประมาณ แพ็กเกจ และการติดตามผล
การวางแผนงบประมาณสำหรับการเลเซอร์รอยแผลเป็นควรพิจารณาจากหลายปัจจัย โดย คลินิกมักเสนอแพ็กเกจเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่อครั้ง และการนัดติดตามผลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อประเมินการรักษาและจัดการภาวะแทรกซ้อน
การวางแผนงบประมาณ
ค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยแผลเป็นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
- ขนาดและประเภทของแผลเป็น: แผลเป็นขนาดเล็กอาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำกว่า 1,000 บาทต่อครั้ง ในขณะที่การรักษารอยสิวทั่วใบหน้าด้วย Fractional Laser อาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500 – 4,000 บาทต่อครั้ง
- เทคโนโลยีเลเซอร์: เลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Picosecond Laser อาจมีราคาสูงกว่า โดยอาจอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 8,000 บาท หรือมากกว่าต่อครั้ง
- ชื่อเสียงของคลินิกและแพทย์: ค่าบริการอาจสูงขึ้นตามความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: ควรสอบถามให้แน่ชัดว่าราคาที่เสนอรวมค่ายาชา ค่ายา หรือค่าให้คำปรึกษาแล้วหรือไม่
แพ็กเกจและโปรโมชั่น
คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอขายการรักษาเป็นแพ็กเกจ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วการรักษาแผลเป็นจำเป็นต้องทำหลายครั้ง
- ความคุ้มค่า: การซื้อแพ็กเกจจะทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง เช่น แพ็กเกจ 5 ครั้งในราคา 9,000 บาท จะทำให้ราคาเฉลี่ยต่อครั้งลดลงจาก 2,500 บาท เหลือเพียง 1,800 บาท
- โปรโมชั่น: คลินิกอาจมีโปรโมชั่นตามฤดูกาล หรือการแถมบริการเสริม เช่น แถมการฉีดยารักษาคีลอยด์เมื่อซื้อแพ็กเกจเลเซอร์
- ข้อควรระวัง: ควรตรวจสอบเงื่อนไขของแพ็กเกจ เช่น วันหมดอายุ และนโยบายการคืนเงิน และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของผู้ให้บริการมากกว่าราคาที่ถูกที่สุด
การติดตามผล
การนัดติดตามผลหลังการรักษาเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม
- ประเมินการรักษา: แพทย์จะใช้การนัดติดตามผลเพื่อประเมินการฟื้นตัวของผิว จัดการผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และปรับแผนการรักษาในครั้งต่อไป
- การรักษาเพิ่มเติม: หากจำเป็น แพทย์อาจทำการรักษาเพิ่มเติมเล็กน้อยในระหว่างการติดตามผล เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดความนูนของแผลเป็นที่ยังหลงเหลืออยู่
- ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ: มีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีของแผลเป็นคีลอยด์ซึ่งมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำสูง การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ตรวจพบและรักษาการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเลเซอร์ไม่เหมาะ ทางเลือกอื่นและสิ่งที่ควรเลี่ยง
ทางเลือกอื่น เช่น ซิลิโคนเจล ซับซิชัน ฉีดสเตียรอยด์
ซิลิโคนเจล การทำซับซิชัน และการฉีดสเตียรอยด์เป็นทางเลือกในการรักษาแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพ โดยแต่ละวิธีจะเหมาะกับลักษณะของแผลเป็นที่แตกต่างกัน
- ซิลิโคนเจล (Silicone Gel): เหมาะสำหรับแผลเป็นนูน (Hypertrophic) ในระยะแรก โดยจะช่วยให้แผลเป็นนุ่มและแบนลงจากการเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับการสร้างคอลลาเจน
- การทำซับซิชัน (Subcision): เป็นการใช้เข็มตัดพังผืดที่ยึดรั้งผิวหนังไว้ เหมาะสำหรับรักษาแผลเป็นหลุมชนิดแอ่ง (Rolling Scars) เพื่อช่วยให้ผิวที่ยุบตัวยกขึ้นมา
- การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid Injections): เป็นวิธีหลักในการรักษาแผลเป็นนูนและคีลอยด์ โดยการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปที่แผลเป็นทุกๆ 4-6 สัปดาห์ เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ทำให้แผลเป็นยุบตัวลง
สิ่งที่ไม่ควรทำ เช่นสครับแรง กด เกา รบกวนแผล
เพื่อให้แผลเป็นหายดีที่สุด ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่รบกวนและขัดขวางกระบวนการสมานแผล การดูแลแผลอย่างอ่อนโยนจะช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาดีขึ้นและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง
พฤติกรรมที่ไม่ควรทำ ได้แก่:
- การแกะ เกา หรือขัดถูแผล: การกระทำเหล่านี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือทำให้รอยแผลเป็นแย่ลงกว่าเดิม
- การใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่รุนแรง: เช่น สครับเม็ดหยาบหรือใยบวบ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบ
- การทาผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง: เช่น น้ำมันหอมระเหยที่ไม่เจือจาง น้ำมะนาว หรือแม้แต่น้ำมันวิตามินอีซึ่งอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบในบางคน
- การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน: รังสียูวีสามารถทำให้แผลเป็นมีสีเข้มขึ้นอย่างถาวร จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้กระบวนการสมานแผลช้าลงและอาจทำให้แผลเป็นดูแย่ลง
- การทำให้แผลตึงเกินไป: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการยืดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณแผล เพราะอาจทำให้แผลขยายกว้างขึ้นได้
คำถามที่พบบ่อยเรื่องเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น
ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ต่อครั้ง และควรทำกี่ครั้ง
ราคาเริ่มต้นสำหรับการเลเซอร์รอยแผลเป็นต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 950 บาท และโดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3-5 ครั้ง แต่จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็นและการตอบสนองต่อการรักษา
ราคาเริ่มต้นดังกล่าวมักเป็นราคาสำหรับรอยแผลเป็นขนาดเล็ก (<1 ซม.) ส่วนการรักษาที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น รอยแผลเป็นจากสิวบนใบหน้า อาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500–6,000 บาทต่อครั้ง โดยจำนวนครั้งที่แนะนำมีดังนี้
- รอยแผลเป็นจากสิว: อาจต้องทำ 3-4 ครั้ง เพื่อให้รอยแผลเป็นลดความลึกและการมองเห็นลง 50%–80%
- รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic): อาจต้องทำเลเซอร์ 3-5 ครั้ง ห่างกันทุกเดือน เพื่อให้แผลเป็นแบนราบและจางลง
ทำแล้วเจ็บไหม ต้องทายาชาหรือไม่
การทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่สามารถจัดการได้ และโดยทั่วไปจำเป็นต้องทายาชาก่อนทำ ความรู้สึกระหว่างทำมักถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนโดนหนังยางดีดเร็วๆ หรือเข็มร้อนๆ จิ้ม ซึ่งระดับความเจ็บจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้
โดยปกติแล้ว ก่อนการรักษาจะมีการทายาชาเฉพาะที่ทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาที เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายที่สุด สำหรับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดรุนแรง (Ablative laser) อาจมีการใช้ยาชาแบบฉีดหรือให้ยาแก้ปวดร่วมด้วยเพื่อควบคุมความเจ็บปวด
ใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน กลับไปทำงานได้เมื่อไหร่
ระยะเวลาพักฟื้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ โดยเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative) จะใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่าเลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative)
- เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative): ผู้ป่วยจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อยเพียง 1-3 วัน หรือบางครั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมง และมักจะสามารถกลับไปทำงานได้ในวันเดียวกันหรือวันรุ่งขึ้น
- เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative Fractional Laser): ผู้ป่วยจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า โดยผิวอาจมีอาการแดง ตกสะเก็ด หรือมีของเหลวซึมประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากช่วงนี้ก็จะสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
ผิวคล้ำทำได้ไหม เสี่ยงเป็นรอยดำหรือไม่
ผู้ที่มีผิวคล้ำสามารถทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) ได้ง่ายกว่าคนผิวขาว เพราะเม็ดสี (เมลานิน) ในผิวจะดูดซับพลังงานเลเซอร์ได้ดีกว่า
เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว แพทย์จะใช้เทคนิคและข้อควรระวังเพิ่มเติม ดังนี้
- เลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะสม: เช่น เลเซอร์ Nd:YAG ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งสามารถผ่านเม็ดสีที่ผิวชั้นบนไปได้ดีกว่า จึงลดความเสี่ยงต่อผิวไหม้และรอยดำ
- ปรับค่าพลังงาน: ใช้พลังงานที่ต่ำลงและปรับระยะเวลาการปล่อยพลังงานให้นานขึ้น เพื่อลดการบาดเจ็บจากความร้อน
- ทำการทดสอบก่อนรักษา (Test spots): แพทย์อาจทดลองยิงเลเซอร์ในบริเวณเล็กๆ เพื่อประเมินการตอบสนองของผิวก่อนทำการรักษาจริง
- การดูแลก่อนและหลังทำ: แนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด และอาจให้ใช้ยาทาลดเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำ
เลเซอร์เหมาะกับแผลเป็นทุกชนิดหรือไม่
เลเซอร์ไม่ได้เหมาะกับแผลเป็นทุกชนิด และประสิทธิภาพในการรักษาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของแผลเป็น
เลเซอร์สามารถรักษาแผลเป็นบางชนิดได้ดี แต่สำหรับแผลเป็นบางประเภทอาจตอบสนองได้ไม่ดีนักและอาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย ดังนี้
- แผลเป็นที่ตอบสนองต่อเลเซอร์ได้ดี:
- แผลเป็นหลุม (Atrophic scars): เช่น หลุมสิว แผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส เลเซอร์กลุ่ม Fractional ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมให้ตื้นขึ้นได้ดี
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) และคีลอยด์ระยะแรก: เลเซอร์กลุ่มที่ใช้รักษาเส้นเลือด (Vascular laser) และเลเซอร์กลุ่ม Fractional สามารถช่วยให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้นได้
- แผลเป็นที่ตอบสนองต่อเลเซอร์ได้น้อย:
- แผลเป็นคีลอยด์ที่แข็งและเป็นมานาน: แผลเป็นชนิดนี้มักตอบสนองต่อเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้ไม่ดี และจำเป็นต้องใช้การรักษาร่วมกันหลายวิธี เช่น การฉีดสเตียรอยด์ร่วมกับการทำเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
คุ้มไหมเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น
การเลเซอร์รอยแผลเป็นมักจะคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น โดยเฉพาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่า
การเลเซอร์มีความคุ้มค่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:
- ประสิทธิภาพและความเร็ว: การเลเซอร์สามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนในเวลาไม่กี่ครั้ง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีหากใช้วิธีอื่น เช่น การทายา
- ความรุนแรงของแผลเป็น: สำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง เช่น รอยหลุมสิวลึก หรือคีลอยด์ขนาดใหญ่ การเลเซอร์มักเป็นทางเลือกที่ได้ผลดีที่สุด ในขณะที่รอยแผลเป็นที่ไม่รุนแรงอาจตอบสนองต่อวิธีที่ถูกกว่าได้ เช่น การใช้แผ่นซิลิโคนเจล หรือการทำ Microneedling
- ความคุ้มค่าระยะยาว: ผลลัพธ์จากการเลเซอร์มักจะคงอยู่ยาวนาน ทำให้ในระยะยาวอาจมีค่าใช้จ่ายโดยรวมน้อยกว่าการรักษาที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การฉีดยาหรือทาครีมเป็นประจำ
- คุณภาพชีวิต: หลายคนมองว่าการมีคุณภาพชีวิตและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นจากการที่รอยแผลเป็นดีขึ้นนั้นคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เสียไป
References:
- Campos, M.B., Xiao, A., & Ettefagh, L. Laser Revision of Scars. StatPearls Publishing. ncbi.nlm.nih.gov
- Bronte, J., Zhou, C., Vempati, A., et al. A Comprehensive Review of Non-Surgical Treatments for Hypertrophic and Keloid Scars in Skin of Color. Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology (Dove Medical Press), 17, 1459–1469. dovepress.com
- Borges, F.S., Trevisan, M.D., Ferraz, A.A.S., et al. Contraindications of Using Fractional CO₂ Laser in the Treatment of Aesthetic Disorders: A Narrative Review. Journal of Biosciences and Medicines, 13, 225–247. scirp.org
- Avdulaj, A., Menashe, S., Govrin-Yehudain, Y., et al. Fractional CO₂ Laser for Acne Scar Treatment: A Comparative Analysis of Ablative vs. Combined Ablative and Non-Ablative Modalities. Journal of Aesthetic Medicine, 1, Article 2. researchgate.net
- Yan, C., Phinyo, P., Yogya, Y., et al. Comparative Effectiveness and Safety of Fractional Laser and Fractional Radiofrequency for Atrophic Acne Scars: A Retrospective Propensity Score Analysis. Life (Basel), 15, 1379. mdpi.com
- Mayo Clinic Staff. Laser resurfacing – Procedure, Risks and Results. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Scars: Diagnosis and Treatment. American Academy of Dermatology Association. aad.org
- HDmall. เลเซอร์แผลเป็น ราคาเท่าไหร่ บริการที่ไหนดี (Laser Scar Removal Prices and Packages). HDmall Healthcare Marketplace. hdmall.co.th
- The Ritz Clinic. เจาะลึกการทำ Picosecond Laser (Deep Dive into Pico Laser). The Ritz Clinic Blog. theritzclinic.com

