Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ คุ้มไหม 2568

Byadmin กันยายน 13, 2025กันยายน 13, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 13, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • ใครเหมาะกับเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น และใครควรเลี่ยง
    • ชนิดแผลเป็นที่ตอบสนองดี และเกณฑ์คัดเลือก
    • ข้อห้าม โรคประจำตัว ยา และปัจจัยเสี่ยง
    • หลักฐานเชิงวิชาการ และมาตรฐานวิชาชีพ
  • ประเภทเลเซอร์รักษารอยแผลเป็น และวิธีเลือกให้เหมาะ
    • Fractional กับ Non‑fractional ต่างกันอย่างไร
    • พารามิเตอร์หลัก และจำนวนครั้งโดยประมาณ
    • เกณฑ์เลือกวิธีตามชนิดแผล และสีผิว
    • การรักษาร่วมเสริม เช่นยาทา และหัตถการ
  • ราคาเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น และปัจจัยที่กำหนดราคา
    • ขนาดและชนิดแผลเป็น กับพื้นที่รักษา
    • จำนวนครั้ง ค่ามือแพทย์ และมาตรฐานคลินิก
    • คุ้มไหม ประเมินงบเทียบผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  • ผลลัพธ์ ระยะฟื้นตัว และต้องทำกี่ครั้ง
    • เริ่มเห็นผลเมื่อไหร่ และระดับการเปลี่ยนแปลง
    • Timeline ฟื้นตัว อาการชั่วคราว และการดูแล
    • การคงอยู่ระยะยาว และการดูแลต่อเนื่อง
  • เตรียมตัวก่อนทำ และดูแลหลังเลเซอร์แผลเป็น
    • ก่อนทำ: หยุดยาบางชนิด เลี่ยงแดด และเตรียมผิว
    • หลังทำ: ลดบวมแดง กันแดด และหลีกเลี่ยงความร้อน
    • สัญญาณอันตราย เมื่อควรติดต่อแพทย์ทันที
  • ตัดสินใจเลือกการรักษาและคลินิกอย่างมั่นใจ
    • เกณฑ์เลือกวิธีให้เหมาะกับชนิดแผลของคุณ
    • คุณวุฒิแพทย์ เครื่องมือ และมาตรฐานคลินิก
    • วางแผนงบประมาณ แพ็กเกจ และการติดตามผล
  • เมื่อเลเซอร์ไม่เหมาะ ทางเลือกอื่นและสิ่งที่ควรเลี่ยง
    • ทางเลือกอื่น เช่น ซิลิโคนเจล ซับซิชัน ฉีดสเตียรอยด์
    • สิ่งที่ไม่ควรทำ เช่นสครับแรง กด เกา รบกวนแผล
  • คำถามที่พบบ่อยเรื่องเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น
    • ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ต่อครั้ง และควรทำกี่ครั้ง
    • ทำแล้วเจ็บไหม ต้องทายาชาหรือไม่
    • ใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน กลับไปทำงานได้เมื่อไหร่
    • ผิวคล้ำทำได้ไหม เสี่ยงเป็นรอยดำหรือไม่
    • เลเซอร์เหมาะกับแผลเป็นทุกชนิดหรือไม่
    • คุ้มไหมเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น
  • References:

ใครเหมาะกับเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น และใครควรเลี่ยง

เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น

ชนิดแผลเป็นที่ตอบสนองดี และเกณฑ์คัดเลือก

แผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ดีคือแผลเป็นหลุม (Atrophic) แผลเป็นนูน (Hypertrophic) และคีลอยด์ในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะพิจารณาจากชนิดของแผลเป็น สีผิว และแนวโน้มการหายของแผลเป็นหลัก

แผลเป็นแต่ละชนิดตอบสนองต่อเลเซอร์ต่างกัน ดังนี้

  • แผลเป็นหลุม (Atrophic scars): เช่น หลุมสิวหรือหลุมอีสุกอีใส ตอบสนองได้ดีกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มหลุมแผลเป็น
  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) และคีลอยด์ระยะเริ่มต้น: สามารถทำให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้นได้ด้วยเลเซอร์กลุ่มหลอดเลือด (Vascular laser) หรือเลเซอร์กลุ่ม Fractional

เกณฑ์สำคัญที่แพทย์ใช้ในการคัดเลือกผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ได้แก่

  • ชนิดและตำแหน่งของแผลเป็น: เพื่อเลือกชนิดของเลเซอร์ที่เหมาะสม
  • สีผิวของผู้ป่วย: ผู้ที่มีผิวสีเข้มต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำเลเซอร์
  • ประวัติการรักษาและแนวโน้มการหายของแผล: เช่น ประวัติการเกิดคีลอยด์ง่าย
  • ความคาดหวังของผู้ป่วย: ควรคาดหวังผลลัพธ์เป็นการ “ดีขึ้น” ไม่ใช่ “หายสนิท”
  • ความพร้อมในการเข้ารับการรักษาหลายครั้ง: การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ข้อห้าม โรคประจำตัว ยา และปัจจัยเสี่ยง

ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลเซอร์รอยแผลเป็นคือ การใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา การติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะทำ และโรคที่ไวต่อแสงบางชนิด นอกจากนี้ยังมีโรคประจำตัว ยา และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนทำการรักษา

ข้อห้ามเด็ดขาด (Absolute Contraindications)

  • การใช้ยา Isotretinoin: ผู้ที่รับประทานยาไอโซเตรติโนอิน (ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเสี่ยงที่แผลจะหายช้าผิดปกติ
  • การติดเชื้อ: มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส (เช่น เริม) หรือเชื้อราในบริเวณที่จะทำการรักษา
  • โรคไวต่อแสง: เป็นโรคที่ไวต่อแสงบางชนิด

ข้อควรระวังเป็นพิเศษ (Relative Contraindications) และปัจจัยเสี่ยง

  • ประวัติแผลเป็น: ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน (Hypertrophic) หรือคีลอยด์ง่าย มีความเสี่ยงสูงที่แผลจะหายผิดปกติ
  • โรคประจำตัว:
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune)
  • โรคผิวหนังอักเสบที่กำลังกำเริบ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือผื่นผิวหนังอักเสบ
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นเริม (อาจต้องได้รับยาต้านไวรัสเพื่อป้องกัน)
  • ยาที่ใช้เป็นประจำ:
  • ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants)
  • ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น Doxycycline
  • ปัจจัยอื่นๆ:
  • สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร (มักจะแนะนำให้เลื่อนการรักษาออกไปก่อน)
  • ผู้ที่มีฟิลเลอร์ชนิดถาวรหรือไหมที่ไม่ละลายในบริเวณที่จะทำเลเซอร์
  • ผู้ที่มีผิวสีเข้ม ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำเลเซอร์

หลักฐานเชิงวิชาการ และมาตรฐานวิชาชีพ

ประสิทธิภาพของการเลเซอร์รอยแผลเป็นได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิชาการจำนวนมาก และมาตรฐานวิชาชีพกำหนดให้การรักษาต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรอง โดยใช้ระเบียบวิธีที่อิงตามหลักฐานเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิผลสูงสุด

หลักฐานทางวิชาการ

  • งานวิจัยทางคลินิก: การศึกษาจำนวนมากยืนยันว่าเลเซอร์สามารถลดเลือนรอยแผลเป็นได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น รอยแผลเป็นชนิดหลุมสิว (Atrophic scars) ดีขึ้น 40-75% และรอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) ดีขึ้นถึง 83% หลังการรักษาหลายครั้ง
  • ฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญ: มีความเห็นพ้องต้องกันในวงการแพทย์ว่าเลเซอร์เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการจัดการรอยแผลเป็น สามารถทำให้รอยจางลงและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนังได้จริงเมื่อทำโดยผู้มีประสบการณ์
  • การรักษาร่วม: มีหลักฐานสนับสนุนว่าการใช้เลเซอร์ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น การฉีดสเตียรอยด์ หรือการทำ Subcision ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว โดยเฉพาะในรอยแผลเป็นที่รักษายาก

มาตรฐานวิชาชีพ

  • คุณสมบัติผู้ให้บริการ: ควรเลือกแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง (Board-certified) และมีประสบการณ์สูงด้านการใช้เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
  • มาตรฐานคลินิก: สถานพยาบาลต้องใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่ทันสมัยและได้รับการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ (เช่น FDA) พร้อมทั้งมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น การป้องกันดวงตา การใช้เทคนิคปลอดเชื้อ และการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
  • การประเมินผู้ป่วย: แพทย์ต้องทำการประเมินอย่างละเอียด ทั้งชนิดของแผลเป็น ประเภทผิว และประวัติทางการแพทย์ เพื่อปรับตั้งค่าพลังงานเลเซอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  • การดูแลต่อเนื่อง: การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังทำ และการนัดหมายเพื่อติดตามผล ถือเป็นส่วนสำคัญของการรักษาที่มีคุณภาพ

ประเภทเลเซอร์รักษารอยแผลเป็น และวิธีเลือกให้เหมาะ

Fractional กับ Non‑fractional ต่างกันอย่างไร

เลเซอร์แบบ Fractional แตกต่างจาก Non-fractional (หรือ Full-field) ตรงที่ การปล่อยพลังงานลงไปเป็นจุดเล็กๆ จำนวนมาก โดยมีผิวหนังปกติคั่นกลางระหว่างจุด ในขณะที่เลเซอร์แบบ Non-fractional จะรักษาผิวทั้งบริเวณอย่างต่อเนื่องเต็มพื้นที่

การเว้นผิวหนังปกติไว้ของเทคโนโลยี Fractional ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาแบบดั้งเดิมที่ลงเต็มพื้นที่

พารามิเตอร์หลัก และจำนวนครั้งโดยประมาณ

พารามิเตอร์หลักในการปรับเลเซอร์รักษารอยแผลเป็น ได้แก่ ความหนาแน่นของพลังงาน (Fluence) ระยะเวลาของพัลส์ (Pulse duration) และขนาดของจุดเลเซอร์ (Spot size) โดยจำนวนครั้งในการรักษาโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 ครั้ง แต่จะแตกต่างกันไปตามชนิดของแผลเป็น

พารามิเตอร์ที่แพทย์ใช้ในการปรับตั้งค่าเลเซอร์ประกอบด้วย:

  • ความหนาแน่นของพลังงาน (Fluence) และระยะเวลาของพัลส์ (Pulse duration): ใช้ควบคุมความเข้มและความร้อนที่ส่งลงไปในผิวหนัง โดยจะปรับให้สูงขึ้นสำหรับแผลเป็นที่หนา และปรับให้ต่ำลงสำหรับผิวแพ้ง่ายหรือผิวคล้ำ
  • ขนาดของจุดเลเซอร์ (Spot size): มีผลต่อความแม่นยำและความลึกของการรักษา โดยใช้ขนาดเล็กสำหรับพื้นที่เฉพาะจุด และขนาดใหญ่สำหรับพื้นที่กว้าง

สำหรับจำนวนครั้งในการรักษาโดยประมาณ มีดังนี้:

  • แผลเป็นหลุมสิว: การทำเลเซอร์ชนิด Fractional ประมาณ 3-4 ครั้ง สามารถช่วยให้รอยแผลเป็นดีขึ้น 50-80%
  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic): การทำเลเซอร์หลอดเลือด (Vascular laser) ประมาณ 3-5 ครั้ง สามารถช่วยให้แผลเป็นค่อยๆ เรียบเนียนและจางลงได้

ทั้งนี้ จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษาและความรุนแรงของแผลเป็นแต่ละบุคคล โดยจะทำการรักษาต่อเนื่องจนกว่าผลลัพธ์จะเป็นที่น่าพอใจ

เกณฑ์เลือกวิธีตามชนิดแผล และสีผิว

การเลือกเลเซอร์จะพิจารณาจากชนิดของแผลเป็นและสีผิวของผู้รับการรักษาเป็นหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง โดยมีเกณฑ์การเลือกดังนี้

  • ตามชนิดของแผลเป็น:
  • แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars): เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้แผลตื้นขึ้น สำหรับแผลไม่ลึกมากหรือผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น อาจใช้เลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative Fractional แทน
  • แผลเป็นนูนและคีลอยด์ (Hypertrophic & Keloid Scars): มักใช้เลเซอร์กลุ่ม Vascular Laser (เช่น Pulsed-Dye Laser) เพื่อลดรอยแดงและทำให้แผลเรียบเนียนขึ้น และอาจใช้ร่วมกับ Fractional Laser เพื่อปรับผิวสัมผัส ในกรณีที่เป็นมากมักต้องทำร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์
  • ตามสีผิว:
  • ผู้มีผิวคล้ำ: ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยแพทย์มักเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสูง เช่น 1064 nm Nd:YAG ซึ่งสามารถผ่านชั้นผิวหนังที่มีเม็ดสีไปได้ลึกกว่า เพื่อลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำ (PIH) และจะใช้พลังงานที่ต่ำกว่าปกติ

การรักษาร่วมเสริม เช่นยาทา และหัตถการ

การรักษาร่วมเสริมที่ใช้ควบคู่กับการเลเซอร์แผลเป็นมีหลายวิธี เช่น การฉีดสเตียรอยด์, การใช้แผ่นซิลิโคน, และการตัดพังผืดใต้แผลเป็น (Subcision) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การรักษาร่วมเสริมที่สำคัญซึ่งมักใช้ควบคู่ไปกับการทำเลเซอร์ ได้แก่:

  • การฉีดสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroids): เป็นวิธีหลักสำหรับรักษาแผลเป็นนูน (Hypertrophic) และคีลอยด์ โดยสเตียรอยด์จะช่วยลดการสร้างคอลลาเจนและทำให้แผลเป็นแบนราบลง
  • แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone Gel Sheeting): การใช้แผ่นซิลิโคนแปะบนแผลเป็นทุกวันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้น มักใช้ต่อเนื่องระหว่างการทำเลเซอร์แต่ละครั้ง
  • การตัดพังผืดใต้แผลเป็น (Subcision): เป็นหัตถการที่ใช้สำหรับแผลเป็นหลุมชนิดแอ่ง (Rolling Scars) โดยแพทย์จะใช้เข็มสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งแผลไว้ ทำให้แผลเป็นยกตัวขึ้น ก่อนที่จะใช้เลเซอร์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อปรับผิวให้เรียบเนียน
  • หัตถการอื่นๆ: การทำ Microneedling หรือคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) สามารถใช้สลับกับการทำเลเซอร์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนเช่นกัน
  • ยาทา: แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาทา เช่น สารสกัดจากหัวหอม, วิตามินซี หรือไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เพื่อช่วยให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น

ราคาเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น และปัจจัยที่กำหนดราคา

ขนาดและชนิดแผลเป็น กับพื้นที่รักษา

ขนาด ชนิดของแผลเป็น และพื้นที่ที่ทำการรักษาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายและวิธีการรักษา โดยแพทย์จะประเมินปัจจัยเหล่านี้เพื่อเลือกชนิดของเลเซอร์และกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

  • ขนาดและพื้นที่: แผลเป็นขนาดเล็กจะมีราคาถูกกว่าแผลเป็นขนาดใหญ่หรือการรักษาทั่วทั้งบริเวณ เช่น การรักษาแผลเป็นขนาดเล็กกว่า 1 ซม. อาจมีราคาเริ่มต้นที่ 950 บาทต่อครั้ง ในขณะที่การรักษาแผลเป็นจากสิวทั่วใบหน้าจะมีราคาสูงกว่า
  • ชนิดของแผลเป็น: แผลเป็นแต่ละชนิดต้องการเลเซอร์และเทคนิคที่แตกต่างกัน เช่น แผลเป็นหลุมสิว (Atrophic) เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional CO₂ ในขณะที่แผลเป็นนูน (Hypertrophic) หรือคีลอยด์ (Keloid) อาจต้องใช้เลเซอร์ร่วมกับการฉีดยา ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายโดยรวม

จำนวนครั้ง ค่ามือแพทย์ และมาตรฐานคลินิก

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยแผลเป็น ได้แก่ ขนาดและประเภทของแผลเป็น เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิก โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ต้องทำการรักษา

ปัจจัยที่มีผลต่อราคามีดังนี้:

  • ขนาด ประเภท และความรุนแรงของแผลเป็น: แผลเป็นขนาดเล็กจะมีราคาถูกกว่าแผลเป็นขนาดใหญ่หรือบริเวณกว้าง เช่น ทั่วใบหน้า นอกจากนี้ แผลเป็นที่รักษายาก เช่น แผลเป็นนูน (Hypertrophic) หรือคีลอยด์ (Keloid) อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
  • เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้: เลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Picosecond laser หรือ CO₂ fractional laser จะมีราคาสูงกว่าเลเซอร์ทั่วไป เนื่องจากต้นทุนของเครื่องมือที่สูงกว่า
  • ความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานคลินิก: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและคลินิกที่มีชื่อเสียงในเมืองใหญ่มักมีค่าบริการสูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและคุณภาพการบริการ
  • จำนวนครั้งและแพ็กเกจ: ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ต้องทำ แต่คลินิกส่วนใหญ่มักมีแพ็กเกจเหมาจ่าย ซึ่งจะทำให้ราคาเฉลี่ยต่อครั้งถูกลง
  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: ราคาที่เสนออาจยังไม่รวมค่าปรึกษา ยาชา หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ ซึ่งอาจต้องจ่ายแยกต่างหาก

คุ้มไหม ประเมินงบเทียบผลลัพธ์ที่คาดหวัง

การเลเซอร์รอยแผลเป็นถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางถึงรุนแรง เนื่องจากให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและยาวนานเมื่อเทียบกับวิธีอื่น

แม้ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นจะสูงกว่าการรักษาด้วยวิธีทายา แต่เลเซอร์สามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนกว่า โดยผลการศึกษาพบว่ารอยแผลเป็นบางชนิดสามารถดีขึ้นได้มาก เช่น

  • รอยแผลเป็นหลุมสิว: อาจดีขึ้น 50–80% ในด้านความลึกและการมองเห็นหลังทำเลเซอร์หลายครั้ง
  • รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic): อาจเรียบเนียนและจางลงกว่า 70%

ค่าใช้จ่ายในประเทศไทยต่อครั้งมีตั้งแต่หลักร้อยบาทสำหรับแผลขนาดเล็ก ไปจนถึงหลายพันบาทสำหรับแผลเป็นสิวทั่วใบหน้าหรือการใช้เลเซอร์เทคโนโลยีสูง ซึ่งเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่คงอยู่ยาวนานจึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ ระยะฟื้นตัว และต้องทำกี่ครั้ง

เริ่มเห็นผลเมื่อไหร่ และระดับการเปลี่ยนแปลง

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังการรักษาครั้งแรก แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นหลังการรักษาต่อเนื่องหลายครั้ง และจะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ชัดเจนในเวลาประมาณ 3-12 เดือน

การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกอาจไม่ชัดเจนนัก แต่ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละครั้งที่ทำการรักษา โดยระดับการเปลี่ยนแปลงจะขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็นและความรุนแรง

  • แผลเป็นหลุมสิว: หลังการรักษาด้วยเลเซอร์แบบ Fractional ประมาณ 3-4 ครั้ง แผลเป็นอาจมีความลึกและความชัดเจนลดลง 50-80%
  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic): แผลเป็นสามารถเริ่มเรียบและจางลงหลังการรักษาด้วยเลเซอร์เส้นเลือด (Vascular laser) 2-3 ครั้ง และอาจเรียบเนียนขึ้นกว่า 70% หลังจากผ่านไปหลายเดือน ซึ่งมักจะต้องใช้การรักษาร่วมกับวิธีอื่น

Timeline ฟื้นตัว อาการชั่วคราว และการดูแล

ระยะเวลาฟื้นตัวหลังเลเซอร์รอยแผลเป็นจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเลเซอร์ โดยเลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative) ต้องพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative) จะใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่ามาก เพียง 1-3 วัน หรืออาจกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ในวันถัดไป

อาการชั่วคราวและการดูแลหลังทำเลเซอร์มีดังนี้

อาการชั่วคราวที่พบได้

  • เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative Lasers):
  • บวม: เกิดขึ้นได้ในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก
  • แดง: อาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ถึง 1-3 เดือน
  • อื่นๆ: อาจมีของเหลวซึม สะเก็ด ผิวลอก รู้สึกคันหรือตึงผิว
  • เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative Lasers):
  • บวมและแดงเล็กน้อย: เป็นอยู่ประมาณ 1-3 วัน หรือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
  • ผิวลอก: ลอกเพียงเล็กน้อยคล้ายผิวไหม้แดด
  • รอยช้ำ (สำหรับ Pulsed-Dye Laser): อาจเกิดรอยช้ำสีม่วงซึ่งจะหายไปใน 7-10 วัน

การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์

  • ทำความสะอาดแผลอย่างอ่อนโยน และทาขี้ผึ้ง (Ointment) เพื่อรักษาความชุ่มชื้น
  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือขัดถูสะเก็ด เพราะอาจทำให้ติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็นได้
  • ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด โดยใช้ครีมกันแดด SPF 30+ เป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันรอยดำ
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น ซาวน่า หรือออกกำลังกายหนัก ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดต่างๆ จนกว่าผิวจะฟื้นตัวเต็มที่

การคงอยู่ระยะยาว และการดูแลต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ของการเลเซอร์รอยแผลเป็นนั้น โดยทั่วไปมีความคงทนและอยู่ได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรอยแผลเป็นชนิดหลุม (atrophic scars) ซึ่งเมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเติมเต็มแล้ว ผลลัพธ์มักจะคงอยู่ถาวร อย่างไรก็ตาม รอยแผลเป็นบางชนิด เช่น คีลอยด์และแผลเป็นนูน มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ (คีลอยด์มีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำสูงถึง 50% หรือมากกว่า) จึงอาจต้องมีการดูแลและรักษาเพิ่มเติมเพื่อควบคุม

การดูแลต่อเนื่องเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุดประกอบด้วย:

  • การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด: เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นมีสีเข้มขึ้น
  • การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมเพื่อรักษาสุขภาพผิวโดยรวม
  • การติดตามผลกับแพทย์: การนัดติดตามผลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประเมินผลลัพธ์ จัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และพิจารณาการรักษาเพิ่มเติมหากจำเป็น เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อควบคุมคีลอยด์ที่เริ่มกลับมาเป็นซ้ำ
  • การรักษาเพื่อคงสภาพ (Maintenance): ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาเป็นครั้งคราว เช่น การทำเลเซอร์ซ้ำปีละครั้งเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน หรือการฉีดยาเพื่อป้องกันการกลับมาของแผลเป็น

เตรียมตัวก่อนทำ และดูแลหลังเลเซอร์แผลเป็น

ก่อนทำ: หยุดยาบางชนิด เลี่ยงแดด และเตรียมผิว

การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์รอยแผลเป็นเกี่ยวข้องกับการหยุดยาบางชนิด การหลีกเลี่ยงแสงแดด และการเตรียมผิวตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

โดยทั่วไป การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์มีดังนี้:

  • การหยุดยาและผลิตภัณฑ์บางชนิด:
  • หยุดใช้ยาในกลุ่ม Isotretinoin (ยารักษาสิว) อย่างน้อย 6–12 เดือนก่อนทำเลเซอร์
  • หยุดยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง (เช่น Doxycycline) และยาละลายลิ่มเลือด (เช่น แอสไพริน) ตามคำแนะนำของแพทย์
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลไม้ (AHA/BHA) หลายวันก่อนทำเลเซอร์
  • การหลีกเลี่ยงแสงแดด:
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดและงดใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิว (self-tanning) เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะสีผิวเข้มขึ้นผิดปกติหลังการรักษา
  • การเตรียมผิว:
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นเริมอาจต้องรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการกำเริบ
  • แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ครีมบางชนิด เช่น สารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี (ในผู้ที่มีผิวคล้ำ) เพื่อเตรียมผิว
  • ในวันนัดหมาย จะมีการทำความสะอาดผิวและทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำเลเซอร์ประมาณ 30–60 นาที

หลังทำ: ลดบวมแดง กันแดด และหลีกเลี่ยงความร้อน

การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์เพื่อลดอาการบวมแดง ป้องกันแสงแดด และหลีกเลี่ยงความร้อน สามารถทำได้โดยการประคบเย็น ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และงดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนหรือเหงื่อออกมากในช่วงแรก

  • ลดบวมแดง: สามารถจัดการได้ด้วยการประคบเย็น และนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วง 2-3 คืนแรกหลังทำเลเซอร์
  • ป้องกันแสงแดด: เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องทาครีมกันแดด (แนะนำ SPF 30+ ที่มีส่วนผสมของ Zinc/Titanium) ทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: ควรหลีกเลี่ยงแหล่งความร้อนสูง เช่น การเข้าซาวน่า อ่างน้ำร้อน หรือการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการอักเสบที่เพิ่มขึ้น

สัญญาณอันตราย เมื่อควรติดต่อแพทย์ทันที

สัญญาณอันตรายที่ควรติดต่อแพทย์ทันทีหลังทำเลเซอร์แผลเป็นคือ อาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อ การกำเริบของโรคเริม หรือปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ซึ่งรวมถึงอาการดังต่อไปนี้

  • สัญญาณการติดเชื้อ: มีรอยแดงที่ลุกลาม, อาการปวดเพิ่มขึ้น, รู้สึกร้อนบริเวณที่รักษา, มีหนองไหล หรือมีไข้
  • การกำเริบของโรคเริม: มีตุ่มน้ำใสเป็นกลุ่มหรือแผลพุพองใหม่เกิดขึ้น
  • ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา: หากทำเลเซอร์ใกล้ดวงตาแล้วเกิดอาการปวดตาหรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลง ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน
  • อาการผิดปกติอื่นๆ: หากมีอาการใดๆ ที่ดูรุนแรงกว่าที่คาดไว้หรือไม่เป็นไปตามกระบวนการฟื้นตัวตามปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

ตัดสินใจเลือกการรักษาและคลินิกอย่างมั่นใจ

เกณฑ์เลือกวิธีให้เหมาะกับชนิดแผลของคุณ

การเลือกเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของแผลเป็น รวมถึงสีผิวของผู้เข้ารับการรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแผลเป็นแต่ละประเภท

  • แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars): เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative เช่น CO₂ หรือ Er:YAG ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแผลเป็นหลุมที่ไม่ลึกมากหรือผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น อาจเลือกใช้เลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative Fractional แทน
  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars) และคีลอยด์ระยะเริ่มต้น: เหมาะกับเลเซอร์กลุ่ม Vascular Laser เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL) เพื่อลดความแดงและทำให้แผลเป็นแบนราบลง หรืออาจใช้ Fractional Laser เพื่อปรับปรุงผิวสัมผัส
  • คีลอยด์ที่แข็งและเป็นมานาน: มักไม่ค่อยตอบสนองต่อการทำเลเซอร์เพียงอย่างเดียว และจำเป็นต้องใช้การรักษาร่วมกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์ร่วมกับการทำเลเซอร์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  • ผู้ที่มีสีผิวเข้ม: ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยแพทย์อาจเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังทำ (PIH) ต่ำ เช่น เลเซอร์ Nd:YAG หรือเลเซอร์กลุ่ม Non-Ablative Fractional

คุณวุฒิแพทย์ เครื่องมือ และมาตรฐานคลินิก

ควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นโดยเฉพาะ ใช้เครื่องเลเซอร์ที่ทันสมัยและผ่านการรับรองจาก FDA ในคลินิกที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยและความสะอาด การเลือกผู้ให้บริการและสถานพยาบาลที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยในการรักษา

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกมีดังนี้

  • คุณวุฒิและประสบการณ์ของแพทย์
  • ความเชี่ยวชาญ: ควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง (Dermatologist) ที่ผ่านการฝึกอบรมและมีความเข้าใจในประเภทของแผลเป็นและสภาพผิวที่แตกต่างกัน
  • ประสบการณ์: ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์โดยตรง โดยเฉพาะประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นชนิดเดียวกับที่คุณมี (เช่น แผลเป็นสิว แผลเป็นนูน หรือคีลอยด์)
  • เครื่องมือและเทคโนโลยี
  • มาตรฐานเครื่องมือ: คลินิกควรใช้เครื่องเลเซอร์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) และมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • ความหลากหลาย: คลินิกที่มีเครื่องเลเซอร์หลายชนิดจะสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับแผลเป็นแต่ละประเภทได้ดีกว่า
  • มาตรฐานของคลินิก
  • ความปลอดภัย: มีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น การใช้อุปกรณ์ป้องกันดวงตา การทดสอบเลเซอร์บนผิวหนัง (Patch Test) หากจำเป็น และมีแผนรับมือภาวะแทรกซ้อน
  • ความสะอาด: ห้องทรีตเมนต์และอุปกรณ์ต้องสะอาดและปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังทำเลเซอร์
  • การให้ข้อมูลและการติดตามผล: คลินิกที่ดีจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาอย่างละเอียด มีการแจ้งค่าใช้จ่ายที่โปร่งใส และที่สำคัญคือมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษา ซึ่งจำเป็นต่อการประเมินผลและปรับแผนการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

วางแผนงบประมาณ แพ็กเกจ และการติดตามผล

การวางแผนงบประมาณสำหรับการเลเซอร์รอยแผลเป็นควรพิจารณาจากหลายปัจจัย โดย คลินิกมักเสนอแพ็กเกจเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่อครั้ง และการนัดติดตามผลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อประเมินการรักษาและจัดการภาวะแทรกซ้อน

การวางแผนงบประมาณ

ค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยแผลเป็นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้

  • ขนาดและประเภทของแผลเป็น: แผลเป็นขนาดเล็กอาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำกว่า 1,000 บาทต่อครั้ง ในขณะที่การรักษารอยสิวทั่วใบหน้าด้วย Fractional Laser อาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500 – 4,000 บาทต่อครั้ง
  • เทคโนโลยีเลเซอร์: เลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Picosecond Laser อาจมีราคาสูงกว่า โดยอาจอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 8,000 บาท หรือมากกว่าต่อครั้ง
  • ชื่อเสียงของคลินิกและแพทย์: ค่าบริการอาจสูงขึ้นตามความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์
  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: ควรสอบถามให้แน่ชัดว่าราคาที่เสนอรวมค่ายาชา ค่ายา หรือค่าให้คำปรึกษาแล้วหรือไม่

แพ็กเกจและโปรโมชั่น

คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอขายการรักษาเป็นแพ็กเกจ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วการรักษาแผลเป็นจำเป็นต้องทำหลายครั้ง

  • ความคุ้มค่า: การซื้อแพ็กเกจจะทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง เช่น แพ็กเกจ 5 ครั้งในราคา 9,000 บาท จะทำให้ราคาเฉลี่ยต่อครั้งลดลงจาก 2,500 บาท เหลือเพียง 1,800 บาท
  • โปรโมชั่น: คลินิกอาจมีโปรโมชั่นตามฤดูกาล หรือการแถมบริการเสริม เช่น แถมการฉีดยารักษาคีลอยด์เมื่อซื้อแพ็กเกจเลเซอร์
  • ข้อควรระวัง: ควรตรวจสอบเงื่อนไขของแพ็กเกจ เช่น วันหมดอายุ และนโยบายการคืนเงิน และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของผู้ให้บริการมากกว่าราคาที่ถูกที่สุด

การติดตามผล

การนัดติดตามผลหลังการรักษาเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม

  • ประเมินการรักษา: แพทย์จะใช้การนัดติดตามผลเพื่อประเมินการฟื้นตัวของผิว จัดการผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และปรับแผนการรักษาในครั้งต่อไป
  • การรักษาเพิ่มเติม: หากจำเป็น แพทย์อาจทำการรักษาเพิ่มเติมเล็กน้อยในระหว่างการติดตามผล เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดความนูนของแผลเป็นที่ยังหลงเหลืออยู่
  • ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ: มีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีของแผลเป็นคีลอยด์ซึ่งมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำสูง การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ตรวจพบและรักษาการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเลเซอร์ไม่เหมาะ ทางเลือกอื่นและสิ่งที่ควรเลี่ยง

ทางเลือกอื่น เช่น ซิลิโคนเจล ซับซิชัน ฉีดสเตียรอยด์

ซิลิโคนเจล การทำซับซิชัน และการฉีดสเตียรอยด์เป็นทางเลือกในการรักษาแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพ โดยแต่ละวิธีจะเหมาะกับลักษณะของแผลเป็นที่แตกต่างกัน

  • ซิลิโคนเจล (Silicone Gel): เหมาะสำหรับแผลเป็นนูน (Hypertrophic) ในระยะแรก โดยจะช่วยให้แผลเป็นนุ่มและแบนลงจากการเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับการสร้างคอลลาเจน
  • การทำซับซิชัน (Subcision): เป็นการใช้เข็มตัดพังผืดที่ยึดรั้งผิวหนังไว้ เหมาะสำหรับรักษาแผลเป็นหลุมชนิดแอ่ง (Rolling Scars) เพื่อช่วยให้ผิวที่ยุบตัวยกขึ้นมา
  • การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid Injections): เป็นวิธีหลักในการรักษาแผลเป็นนูนและคีลอยด์ โดยการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปที่แผลเป็นทุกๆ 4-6 สัปดาห์ เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ทำให้แผลเป็นยุบตัวลง

สิ่งที่ไม่ควรทำ เช่นสครับแรง กด เกา รบกวนแผล

เพื่อให้แผลเป็นหายดีที่สุด ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่รบกวนและขัดขวางกระบวนการสมานแผล การดูแลแผลอย่างอ่อนโยนจะช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาดีขึ้นและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง

พฤติกรรมที่ไม่ควรทำ ได้แก่:

  • การแกะ เกา หรือขัดถูแผล: การกระทำเหล่านี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือทำให้รอยแผลเป็นแย่ลงกว่าเดิม
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่รุนแรง: เช่น สครับเม็ดหยาบหรือใยบวบ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบ
  • การทาผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง: เช่น น้ำมันหอมระเหยที่ไม่เจือจาง น้ำมะนาว หรือแม้แต่น้ำมันวิตามินอีซึ่งอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบในบางคน
  • การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน: รังสียูวีสามารถทำให้แผลเป็นมีสีเข้มขึ้นอย่างถาวร จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้กระบวนการสมานแผลช้าลงและอาจทำให้แผลเป็นดูแย่ลง
  • การทำให้แผลตึงเกินไป: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการยืดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณแผล เพราะอาจทำให้แผลขยายกว้างขึ้นได้

คำถามที่พบบ่อยเรื่องเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น

ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ต่อครั้ง และควรทำกี่ครั้ง

ราคาเริ่มต้นสำหรับการเลเซอร์รอยแผลเป็นต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 950 บาท และโดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3-5 ครั้ง แต่จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็นและการตอบสนองต่อการรักษา

ราคาเริ่มต้นดังกล่าวมักเป็นราคาสำหรับรอยแผลเป็นขนาดเล็ก (<1 ซม.) ส่วนการรักษาที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น รอยแผลเป็นจากสิวบนใบหน้า อาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500–6,000 บาทต่อครั้ง โดยจำนวนครั้งที่แนะนำมีดังนี้

  • รอยแผลเป็นจากสิว: อาจต้องทำ 3-4 ครั้ง เพื่อให้รอยแผลเป็นลดความลึกและการมองเห็นลง 50%–80%
  • รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic): อาจต้องทำเลเซอร์ 3-5 ครั้ง ห่างกันทุกเดือน เพื่อให้แผลเป็นแบนราบและจางลง

ทำแล้วเจ็บไหม ต้องทายาชาหรือไม่

การทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่สามารถจัดการได้ และโดยทั่วไปจำเป็นต้องทายาชาก่อนทำ ความรู้สึกระหว่างทำมักถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนโดนหนังยางดีดเร็วๆ หรือเข็มร้อนๆ จิ้ม ซึ่งระดับความเจ็บจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้

โดยปกติแล้ว ก่อนการรักษาจะมีการทายาชาเฉพาะที่ทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาที เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายที่สุด สำหรับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดรุนแรง (Ablative laser) อาจมีการใช้ยาชาแบบฉีดหรือให้ยาแก้ปวดร่วมด้วยเพื่อควบคุมความเจ็บปวด

ใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน กลับไปทำงานได้เมื่อไหร่

ระยะเวลาพักฟื้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ โดยเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative) จะใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่าเลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative)

  • เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative): ผู้ป่วยจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อยเพียง 1-3 วัน หรือบางครั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมง และมักจะสามารถกลับไปทำงานได้ในวันเดียวกันหรือวันรุ่งขึ้น
  • เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative Fractional Laser): ผู้ป่วยจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า โดยผิวอาจมีอาการแดง ตกสะเก็ด หรือมีของเหลวซึมประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากช่วงนี้ก็จะสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

ผิวคล้ำทำได้ไหม เสี่ยงเป็นรอยดำหรือไม่

ผู้ที่มีผิวคล้ำสามารถทำเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) ได้ง่ายกว่าคนผิวขาว เพราะเม็ดสี (เมลานิน) ในผิวจะดูดซับพลังงานเลเซอร์ได้ดีกว่า

เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว แพทย์จะใช้เทคนิคและข้อควรระวังเพิ่มเติม ดังนี้

  • เลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะสม: เช่น เลเซอร์ Nd:YAG ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งสามารถผ่านเม็ดสีที่ผิวชั้นบนไปได้ดีกว่า จึงลดความเสี่ยงต่อผิวไหม้และรอยดำ
  • ปรับค่าพลังงาน: ใช้พลังงานที่ต่ำลงและปรับระยะเวลาการปล่อยพลังงานให้นานขึ้น เพื่อลดการบาดเจ็บจากความร้อน
  • ทำการทดสอบก่อนรักษา (Test spots): แพทย์อาจทดลองยิงเลเซอร์ในบริเวณเล็กๆ เพื่อประเมินการตอบสนองของผิวก่อนทำการรักษาจริง
  • การดูแลก่อนและหลังทำ: แนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด และอาจให้ใช้ยาทาลดเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำ

เลเซอร์เหมาะกับแผลเป็นทุกชนิดหรือไม่

เลเซอร์ไม่ได้เหมาะกับแผลเป็นทุกชนิด และประสิทธิภาพในการรักษาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของแผลเป็น

เลเซอร์สามารถรักษาแผลเป็นบางชนิดได้ดี แต่สำหรับแผลเป็นบางประเภทอาจตอบสนองได้ไม่ดีนักและอาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย ดังนี้

  • แผลเป็นที่ตอบสนองต่อเลเซอร์ได้ดี:
  • แผลเป็นหลุม (Atrophic scars): เช่น หลุมสิว แผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส เลเซอร์กลุ่ม Fractional ablative (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมให้ตื้นขึ้นได้ดี
  • แผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) และคีลอยด์ระยะแรก: เลเซอร์กลุ่มที่ใช้รักษาเส้นเลือด (Vascular laser) และเลเซอร์กลุ่ม Fractional สามารถช่วยให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้นได้
  • แผลเป็นที่ตอบสนองต่อเลเซอร์ได้น้อย:
  • แผลเป็นคีลอยด์ที่แข็งและเป็นมานาน: แผลเป็นชนิดนี้มักตอบสนองต่อเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้ไม่ดี และจำเป็นต้องใช้การรักษาร่วมกันหลายวิธี เช่น การฉีดสเตียรอยด์ร่วมกับการทำเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

คุ้มไหมเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น

การเลเซอร์รอยแผลเป็นมักจะคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น โดยเฉพาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่า

การเลเซอร์มีความคุ้มค่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:

  • ประสิทธิภาพและความเร็ว: การเลเซอร์สามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนในเวลาไม่กี่ครั้ง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีหากใช้วิธีอื่น เช่น การทายา
  • ความรุนแรงของแผลเป็น: สำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง เช่น รอยหลุมสิวลึก หรือคีลอยด์ขนาดใหญ่ การเลเซอร์มักเป็นทางเลือกที่ได้ผลดีที่สุด ในขณะที่รอยแผลเป็นที่ไม่รุนแรงอาจตอบสนองต่อวิธีที่ถูกกว่าได้ เช่น การใช้แผ่นซิลิโคนเจล หรือการทำ Microneedling
  • ความคุ้มค่าระยะยาว: ผลลัพธ์จากการเลเซอร์มักจะคงอยู่ยาวนาน ทำให้ในระยะยาวอาจมีค่าใช้จ่ายโดยรวมน้อยกว่าการรักษาที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การฉีดยาหรือทาครีมเป็นประจำ
  • คุณภาพชีวิต: หลายคนมองว่าการมีคุณภาพชีวิตและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นจากการที่รอยแผลเป็นดีขึ้นนั้นคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เสียไป

References:

  1. Campos, M.B., Xiao, A., & Ettefagh, L. Laser Revision of Scars. StatPearls Publishing. ncbi.nlm.nih.gov
  2. Bronte, J., Zhou, C., Vempati, A., et al. A Comprehensive Review of Non-Surgical Treatments for Hypertrophic and Keloid Scars in Skin of Color. Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology (Dove Medical Press), 17, 1459–1469. dovepress.com
  3. Borges, F.S., Trevisan, M.D., Ferraz, A.A.S., et al. Contraindications of Using Fractional CO₂ Laser in the Treatment of Aesthetic Disorders: A Narrative Review. Journal of Biosciences and Medicines, 13, 225–247. scirp.org
  4. Avdulaj, A., Menashe, S., Govrin-Yehudain, Y., et al. Fractional CO₂ Laser for Acne Scar Treatment: A Comparative Analysis of Ablative vs. Combined Ablative and Non-Ablative Modalities. Journal of Aesthetic Medicine, 1, Article 2. researchgate.net
  5. Yan, C., Phinyo, P., Yogya, Y., et al. Comparative Effectiveness and Safety of Fractional Laser and Fractional Radiofrequency for Atrophic Acne Scars: A Retrospective Propensity Score Analysis. Life (Basel), 15, 1379. mdpi.com
  6. Mayo Clinic Staff. Laser resurfacing – Procedure, Risks and Results. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  7. American Academy of Dermatology. (n.d.). Scars: Diagnosis and Treatment. American Academy of Dermatology Association. aad.org
  8. HDmall. เลเซอร์แผลเป็น ราคาเท่าไหร่ บริการที่ไหนดี (Laser Scar Removal Prices and Packages). HDmall Healthcare Marketplace. hdmall.co.th
  9. The Ritz Clinic. เจาะลึกการทำ Picosecond Laser (Deep Dive into Pico Laser). The Ritz Clinic Blog. theritzclinic.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สูตรรักษาฝ้า ด้วยมะนาว มีความเสี่ยงหรือไม่ ใช้อย่างไรให้ได้ผล
NextContinue
หน้าดํากว่าตัวแก้ยังไง วิธีแก้เร่งด่วนทำตามได้ทันที

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube