โรคด่างขาว (Vitiligo) คืออะไร สาเหตุ อาการ วิธีรักษาสีผิวให้สม่ำเสมอ

โรคด่างขาว คือโรคผิวหนังที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีจนทำให้ผิวเกิดรอยด่างสีขาว และบทความนี้จะอธิบายสาเหตุ อาการ พร้อมวิธีรักษาเพื่อช่วยฟื้นฟูสีผิวให้กลับมาสม่ำเสมอ
ทำความรู้จักโรคด่างขาว (Vitiligo) และกลไกการเกิดโรค

กระบวนการสร้างเม็ดสีผิดปกติจนเกิดจุดขาว
โรคด่างขาวเกิดจากกระบวนการแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune) ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจผิดและทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD8+ T lymphocyte ที่เข้าไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีโดยตรง โดยมีสารสื่ออักเสบอย่างอินเตอร์เฟียรอนแกมมา (IFN-γ) เป็นตัวกระตุ้นหลัก นอกจากนี้ ภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ในเซลล์ผิวหนังยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีอ่อนแอลงและกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้ามาทำลายได้ง่ายขึ้น (Update on the pathogenesis of vitiligo, Anais Brasileiros de Dermatologia, 2022)
โรคด่างขาวเป็นโรคติดต่อหรือไม่? ไขข้อข้องใจที่พบบ่อย
โรคด่างขาวไม่ใช่โรคติดต่อ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีเอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค จึงไม่สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสหรือช่องทางใดๆ ได้
ข้อเข้าใจผิดที่พบบ่อยอื่น ๆ เกี่ยวกับโรคด่างขาว ได้แก่:
- ความสับสนกับโรคผิวหนังอื่น: โรคด่างขาวแตกต่างจากเกลื้อนน้ำนม (pityriasis alba) หรือโรคกลาก (tinea versicolor) ซึ่งเกิดจากการอักเสบหรือเชื้อรา และมีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีเพียงบางส่วน ไม่ใช่การสูญเสียเม็ดสีทั้งหมด
- ความเชื่อมโยงกับโรคเรื้อน: ในอดีตบางวัฒนธรรมอาจเข้าใจผิดว่าโรคด่างขาวเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย (DermNet New Zealand, 2022)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรคด่างขาว
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune)
โรคด่างขาวจัดเป็นโรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease) ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติไปทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ของตัวเอง กลไกหลักเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ (T-cell) โดยเฉพาะ CD8+ cytotoxic T lymphocytes ที่แทรกซึมเข้าไปในผิวหนังและมุ่งเป้าทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี กระบวนการนี้ถูกกระตุ้นโดยสารสื่ออักเสบ (Cytokines) ที่สำคัญอย่างอินเตอร์เฟียรอนแกมมา (IFN-γ) ซึ่งสร้างวงจรการอักเสบที่ดึงดูดเซลล์ภูมิคุ้มกันมายังผิวหนังมากขึ้น นอกจากนี้ หลักฐานที่สนับสนุนว่าด่างขาวเป็นโรคภูมิต้านตนเองคือการพบร่วมกับภาวะภูมิต้านตนเองอื่นๆ ได้บ่อย โดยเฉพาะโรคต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิคุ้มกัน (เช่น โรคฮาชิโมโตและโรคเกรฟส์) โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) และเบาหวานชนิดที่ 1 (Update on the pathogenesis of vitiligo, Anais Brasileiros de Dermatologia, 2022)
ปัจจัยทางพันธุกรรมและประวัติครอบครัว
โรคด่างขาวมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยทางพันธุกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยประมาณ 20–30% ของผู้ป่วยจะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ การศึกษาในฝาแฝดแท้พบว่ามีโอกาสเกิดโรคพร้อมกันประมาณ 23% ซึ่งบ่งชี้ว่าพันธุกรรมมีส่วนสำคัญแต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว
การศึกษาสมาคมจีโนมไวด์ (GWAS) ได้ระบุตำแหน่งยีนที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคด่างขาวได้ประมาณ 50 ตำแหน่ง โดยยีนเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน และบางส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสี เช่น ยีน TYR ยีนหลายตัวที่เชื่อมโยงกับโรคด่างขาวยังพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคแพ้ภูมิตัวเองอื่นๆ ด้วย (Polymorphisms in PTPN22, NLRP1, and TYR genes in vitiligo patients, Advances in Dermatology and Allergology, 2023)
ความเครียดและปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อผิวหนัง
ความเครียดและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การบาดเจ็บทางกายภาพ สารเคมี และการถูกแดดเผา สามารถกระตุ้นให้เกิดหรือทำให้อาการของโรคด่างขาวกำเริบได้ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผิวหนังในผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคดังนี้
- การบาดเจ็บทางกายภาพ (Koebner phenomenon): การบาดเจ็บที่ผิวหนัง เช่น บาดแผล รอยถลอก แผลไฟไหม้ หรือการเสียดสี สามารถทำให้เกิดรอยด่างขาวใหม่ในบริเวณนั้นได้
- ความเครียดทางจิตใจ: ผู้ป่วยมักรายงานว่าความเครียดเป็นตัวกระตุ้นหรือทำให้อาการแย่ลง ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและความเครียดออกซิเดชันในผิวหนัง
- สารเคมี: การสัมผัสกับสารประกอบฟีนอล เช่น ที่พบในอุตสาหกรรมยางหรือพลาสติก และสีย้อมผมบางชนิด สามารถทำให้เกิดรอยด่างขาวได้
- การถูกแดดเผา: การถูกแดดเผาอย่างรุนแรงสามารถทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีตายและกระตุ้นให้เกิดโรคด่างขาวในผิวหนังที่ไวต่อการเกิดโรคได้ (American Academy of Dermatology, 2023)
เช็คอาการและลักษณะของโรคด่างขาวระยะเริ่มต้น
ลักษณะของผื่นและรอยด่างขาวที่สังเกตได้
ลักษณะเด่นของโรคด่างขาวคือผื่นราบหรือปื้นสีขาวเหมือนชอล์กที่ไม่มีเม็ดสีและมีขอบเขตชัดเจน โดยพื้นผิวของผิวหนังในบริเวณนั้นจะยังคงปกติ ไม่มีการตกสะเก็ดหรือผิวฝ่อ และเส้นขนในบริเวณรอยโรคอาจเปลี่ยนเป็นสีขาวได้
ลักษณะอื่นๆ ที่สังเกตได้ ได้แก่
- ตำแหน่งที่พบบ่อย: มักพบบริเวณใบหน้า (รอบดวงตาและปาก) มือ เท้า ข้อศอก และหัวเข่า ในชนิดที่พบบ่อยที่สุด รอยด่างขาวมักจะปรากฏขึ้นแบบสมมาตร
- ลักษณะของรอยโรคที่กำลังลุกลาม: อาจพบรอยโรคที่มีสามสี (trichrome) คือสีขาว สีน้ำตาลอ่อน และสีผิวปกติอยู่ด้วยกัน หรืออาจพบรอยด่างขาวขนาดเล็กคล้ายกระดาษโปรย (confetti) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโรคกำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว (Vitiligo, Nature Reviews Disease Primers, 2025)
บริเวณร่างกายที่มักเกิดรอยโรค (ใบหน้า มือ และร่มผ้า)
บริเวณที่มักเกิดรอยด่างขาวได้แก่ ใบหน้า มือ เท้า บริเวณปุ่มกระดูก และตามร่มผ้า
ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่:
- ใบหน้า: รอบดวงตาและปาก
- ส่วนปลายของร่างกาย: มือ เท้า นิ้ว และข้อนิ้ว
- ผิวหนังด้านนอกของข้อต่อ: ข้อศอกและหัวเข่า
- รอยพับของร่างกาย: รักแร้ ขาหนีบ และสะดือ (Nature Reviews Disease Primers, 2025)
ประเภทของโรคด่างขาวและการลุกลาม
โรคด่างขาวแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ชนิดไม่แบ่งตามปล้อง (non-segmental) และชนิดแบ่งตามปล้อง (segmental) ซึ่งมีลักษณะการลุกลามที่แตกต่างกัน
- ชนิดไม่แบ่งตามปล้อง (Non-Segmental Vitiligo – NSV): เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (มากกว่า 90%) รอยด่างมักปรากฏขึ้นแบบสมมาตรทั้งสองข้างของร่างกาย การลุกลามของโรคคาดเดาได้ยาก อาจกำเริบและสงบลงเป็นช่วงๆ ตลอดชีวิต
- ชนิดแบ่งตามปล้อง (Segmental Vitiligo – SV): มักเกิดในวัยเด็ก โดยรอยด่างจะอยู่เพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายและไม่ข้ามแนวกึ่งกลางลำตัว โรคจะลุกลามอย่างรวดเร็วในช่วง 6-24 เดือนแรก จากนั้นมักจะคงที่และไม่ลุกลามต่อ
สัญญาณที่บ่งชี้ว่าโรคกำลังลุกลาม ได้แก่ การเกิดรอยโรคใหม่หลังการบาดเจ็บ (Koebner phenomenon) รอยโรคที่มีขอบอักเสบแดง หรือมีรอยด่างขาวเล็กๆ คล้ายกระดาษโปรย (confetti depigmentation) เกิดขึ้น (Vitiligo, Nature Reviews Disease Primers, 2025)
โรคด่างขาวรักษาหายไหม? รวมวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน
การรักษาด้วยยาทาและยารับประทานเพื่อปรับภูมิคุ้มกัน
การรักษาด่างขาวด้วยยาปรับภูมิคุ้มกันมีทั้งยาทาและยารับประทาน ซึ่งออกฤทธิ์โดยการลดการอักเสบและยับยั้งการโจมตีเซลล์สร้างเม็ดสีของระบบภูมิคุ้มกัน
- ยาทา (Topical Medications)
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids): เป็นยาตัวแรกที่ใช้ในการรักษาด่างขาวเฉพาะที่ เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง
- แคลซินูริน อินฮิบิเตอร์ (Calcineurin Inhibitors): เช่น Tacrolimus และ Pimecrolimus เป็นยาที่ใช้ปรับภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ มีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาวกับผิวบอบบาง เช่น ใบหน้า
- ยากลุ่ม JAK อินฮิบิเตอร์ (JAK Inhibitors): ยาทา Ruxolitinib 1.5% เป็นยาตัวใหม่ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาด่างขาวชนิดไม่เป็นปล้อง โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเส้นทางส่งสัญญาณของสารกระตุ้นการอักเสบ และมีประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
- ยารับประทาน (Oral Medications)
- คอร์ติโคสเตียรอยด์: อาจใช้ในรูปแบบรับประทานในระยะสั้น (minipulse therapy) เพื่อหยุดการลุกลามอย่างรวดเร็วของโรค
- ยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ: ยา เช่น Methotrexate และยากลุ่ม JAK อินฮิบิเตอร์ชนิดรับประทาน (เช่น Tofacitinib) ถูกนำมาใช้ในผู้ป่วยด่างขาวที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น แต่ยังถือเป็นการใช้นอกข้อบ่งชี้และหลักฐานยังมีจำกัด (Updates and new medical treatments for vitiligo (Review), Biomedical Reports, 2021)
การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy) และเอ็กซ์ไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser)
การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy) และเอ็กซ์ไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) เป็นวิธีการรักษาด่างขาวมาตรฐาน โดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดสี แต่มีความแตกต่างกันในการใช้งานและบริเวณที่รักษา
- การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Narrowband UVB – NB-UVB): เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยด่างขาวชนิดกระจายตัวทั่วร่างกาย โดยผู้ป่วยจะเข้าไปยืนในตู้ฉายแสงที่มีรังสี UVB ความถี่แคบ (311 นาโนเมตร) สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดสีและปรับการทำงานของภูมิคุ้มกัน โดยประมาณ 50-65% ของผู้ป่วยจะมีการกลับมาของเม็ดสีมากกว่า 50% หลังการรักษาประมาณ 6 เดือน และได้ผลดีที่สุดบริเวณใบหน้าและลำตัว
- เอ็กซ์ไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser): เป็นอุปกรณ์ที่ยิงแสง UVB ความถี่ 308 นาโนเมตร ไปยังบริเวณรอยด่างขาวเฉพาะจุด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีรอยโรคไม่มาก (น้อยกว่า 10% ของพื้นที่ผิว) หรือรอยโรคที่ดื้อต่อการรักษาในบริเวณเล็กๆ เช่น รอบดวงตา วิธีนี้ให้ผลการรักษาที่รวดเร็วกว่าสำหรับรอยโรคขนาดเล็ก และมีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยด่างขาวชนิดขึ้นข้างเดียว (Segmental Vitiligo) (Illuminating the path to skin repigmentation: Phototherapy for vitiligo, Dermsquared, 2023)
การรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์สีผิว (Skin Grafting)
การผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์สีผิวเป็นทางเลือกในการรักษารอยด่างขาวที่คงที่แล้ว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รอยโรคไม่ลุกลามหรือขยายขนาดเป็นเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือน และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น การผ่าตัดมีเป้าหมายเพื่อย้ายเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) จากผิวหนังส่วนปกติไปยังบริเวณที่เป็นด่างขาว
เทคนิคการผ่าตัดที่นิยมใช้ ได้แก่:
- การปลูกถ่ายผิวหนังชนิดตุ่มน้ำ (Suction Blister Grafting): การใช้ตุ่มน้ำที่สร้างจากผิวหนังปกติมาปิดทับรอยด่างขาว
- การปลูกถ่ายผิวหนังบางส่วน (Split-Thickness Skin Grafting): การนำผิวหนังชั้นนอกบางๆ จากบริเวณอื่นมาปลูกถ่ายเพื่อปกปิดพื้นที่ขนาดใหญ่
- การปลูกถ่ายผิวหนังขนาดเล็ก (Punch Grafting): การใช้ชิ้นผิวหนังทรงกระบอกเล็กๆ มาปลูกถ่ายกระจายในบริเวณรอยโรค
- การปลูกถ่ายเซลล์แขวนลอย (Non-cultured Epidermal Cell Suspension – NCES): การสกัดเซลล์สร้างเม็ดสีจากผิวหนังมาทำเป็นสารแขวนลอยแล้วทาลงบนผิวที่เตรียมไว้ ซึ่งสามารถรักษาพื้นที่ได้กว้าง
โดยทั่วไป การรักษานี้มีอัตราความสำเร็จสูง และมักใช้ร่วมกับการฉายแสง (Phototherapy) หลังการผ่าตัดเพื่อกระตุ้นให้สีผิวกลับมาสม่ำเสมอและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (Surgical interventions for patients with vitiligo: A systematic review and meta-analysis, JAMA Dermatology, 2021)
การดูแลตัวเองและโภชนาการสำหรับผู้ที่เป็นโรคด่างขาว
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงและโภชนาการที่เหมาะสม
ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวสามารถรักษาโรคด่างขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุลเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยทั่วไป
- โภชนาการที่แนะนำ: ควรเน้นอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผลไม้ (เบอร์รี, ผลไม้รสเปรี้ยว) และผักใบเขียว นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคด่างขาวมักมีระดับวิตามินดีต่ำ จึงควรดูแลให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ
- อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: ปัจจุบันยังไม่มีรายการอาหารที่ต้องหลีกเลี่ยงซึ่งเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ แม้ว่าในอดีตเคยมีทฤษฎีให้เลี่ยงอาหารที่มีสารฟีนอล (เช่น มะม่วงดิบ, มันสำปะหลัง) แต่ยังขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
- อาหารเสริม: อาหารเสริมกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (วิตามินซี, อี) อาจมีประโยชน์บ้าง แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยให้สีผิวกลับคืนมาได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยขนาดเล็กพบว่าสารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba) อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคได้ (Effectiveness of oral Ginkgo biloba in treating vitiligo: a placebo-controlled trial, Clinical and Experimental Dermatology, 2003)
การปกป้องผิวจากแสงแดดและการใช้ชีวิตประจำวัน
การปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคด่างขาว เนื่องจากผิวหนังบริเวณรอยโรคขาดเม็ดสีเมลานินซึ่งทำหน้าที่ป้องกันรังสี UV จึงทำให้ผิวไหม้แดดได้ง่ายมาก
การดูแลตนเองและการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันสามารถช่วยจัดการกับโรคและส่งเสริมคุณภาพชีวิตได้ ดังนี้
- การป้องกันแสงแดด: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ สวมเสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดด และหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เพื่อป้องกันผิวไหม้และลดความแตกต่างของสีผิว
- การปกปิดรอยโรค: สามารถใช้เครื่องสำอางชนิดปกปิดพิเศษหรือผลิตภัณฑ์ย้อมสีผิวชั่วคราว (self-tanner) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้
- การหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่ผิวหนัง: ควรระมัดระวังเพื่อลดการบาดเจ็บที่ผิวหนัง เช่น การเกา หรือการเสียดสีจากเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดรอยด่างขาวใหม่ได้
- อาหารและอาหารเสริม: แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และควรแน่ใจว่าได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ
- การจัดการความเครียด: ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ ดังนั้นการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ จึงเป็นสิ่งสำคัญ (American Academy of Dermatology, 2023)
สรุปแนวทางการรักษาและฟื้นฟูความมั่นใจจากโรคด่างขาว
แนวทางการรักษาโรคด่างขาวมีทั้งการใช้ยา การฉายแสง และการผ่าตัด ควบคู่ไปกับการดูแลตนเองและสภาพจิตใจเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจ
แนวทางการรักษาและการฟื้นฟูความมั่นใจประกอบด้วย:
- การรักษาทางการแพทย์
- ยาทา: เป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับรอยโรคเฉพาะที่ ได้แก่ ยาทากลุ่มสเตียรอยด์, ยาทากลุ่มแคลซินูรินอินฮิบิเตอร์ (Tacrolimus) สำหรับผิวบอบบาง และยาทากลุ่ม JAK inhibitor (Ruxolitinib) ซึ่งเป็นยาตัวใหม่ที่ได้ผลดีกับรอยโรคบริเวณใบหน้า
- การฉายแสง: การฉายแสงอาทิตย์เทียม (NB-UVB) เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยที่มีรอยโรคกระจายตัวเป็นวงกว้าง
- การผ่าตัด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รอยโรคคงที่เป็นเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือน โดยเป็นการปลูกถ่ายเซลล์สร้างเม็ดสีไปยังบริเวณที่เป็นด่างขาว
- การฟื้นฟูความมั่นใจ
- การใช้เครื่องสำอางปกปิด: สามารถใช้เครื่องสำอางชนิดปกปิดพิเศษหรือผลิตภัณฑ์ย้อมสีผิวชั่วคราว (DHA) เพื่อให้รอยด่างขาวสังเกตเห็นได้น้อยลง
- การป้องกันแสงแดด: การทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปจะช่วยป้องกันผิวไหม้และลดความแตกต่างของสีผิวระหว่างรอยโรคกับผิวปกติ
- การขอรับการสนับสนุน: การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือเข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยจะช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและจัดการกับผลกระทบทางจิตใจได้ (How to care for skin with vitiligo, American Academy of Dermatology, 2023)
