Skin Booster ยี่ห้อไหนดี? เปรียบเทียบส่วนผสม ผลลัพธ์ และราคา อัปเดต 2025

Skin Booster คือทรีตเมนต์แบบฉีดที่ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมโดยเน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น ซึ่งให้ผลลัพธ์ยาวนาน 6-12 เดือนด้วยส่วนผสมหลากหลายเช่นกรดไฮยาลูรอนิกและโพลีนิวคลีโอไทด์
Skin Booster คืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหนได้บ้าง
Skin Booster คือทรีตเมนต์แบบฉีดที่ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม โดยเน้นการเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน แทนที่จะเป็นการเติมเต็มเพื่อเพิ่มปริมาตรเหมือนฟิลเลอร์
Skin Booster สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลายประการ ได้แก่
- ผิวขาดความชุ่มชื้น
- ผิวไม่เรียบเนียน
- ผิวขาดความยืดหยุ่น
- ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส
- ปัญหารูขุมขน
- รอยแดงและผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด
ใครที่เหมาะกับการฉีด Skin Booster? เช็กความพร้อมก่อนตัดสินใจ
ผู้ที่ต้องการมีผิวที่กระจ่างใส ชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้นโดยไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดเหมือนการผ่าตัด ถือเป็นผู้ที่เหมาะกับการฉีด Skin Booster
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Skin Booster คือผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิวต่างๆ ดังนี้
- ผิวขาดน้ำ แห้งกร้าน หรือดูหมองคล้ำ
- ริ้วรอยเล็กๆ และผิวสัมผัสที่ไม่เรียบเนียน
- สัญญาณแห่งวัยในระยะเริ่มต้น
ก่อนตัดสินใจฉีด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและตรวจสุขภาพโดยรวม เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถรับการฉีดได้อย่างปลอดภัยและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง
เปรียบเทียบ Skin Booster 5 ยี่ห้อชั้นนำ: ส่วนผสมและจุดเด่น
1. Restylane Vital Light
Restylane Vital Light คือสกินบูสเตอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่มีเนื้อบางเบา ซึ่งเหมาะสำหรับใช้กับผิวที่บางและบอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตาและลำคอ
2. Juvederm Volite
Juvéderm Volite คือสกินบูสเตอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่ใช้เทคโนโลยี Vycross ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม เช่น ความเรียบเนียน ความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่น
เทคโนโลยี Vycross เป็นการเชื่อมโยงโมเลกุลของ HA ที่มีน้ำหนักต่างกัน ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียนและสามารถฉีดเข้าสู่ชั้นหนังแท้ส่วนลึกได้ ข้อดีที่สำคัญคือมักต้องการการรักษาเพียงครั้งเดียว แต่ให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 9 เดือน
3. Rejuran Healer
Rejuran Healer คือสกินบูสเตอร์ประเภทโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide Booster) ซึ่งแตกต่างจากสกินบูสเตอร์ยี่ห้ออื่นในกลุ่มที่มักใช้กรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนประกอบหลัก
4. Neuraderm Skin Booster
Neuraderm Skin Booster คือสกินบูสเตอร์ที่ผสมผสานกรดไฮยาลูโรนิก (HA) เข้ากับเปปไทด์และวิตามินต่างๆ ซึ่งเปรียบได้กับการทำทรีตเมนต์ HA booster ควบคู่ไปกับการทำเมโสเทอราพีวิตามินในครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของเปปไทด์ M.Biome-BT ซึ่งอาจมีผลช่วยคลายริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้เล็กน้อย คล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณเจือจาง แต่ผลลัพธ์จะไม่ชัดเจนหรือรวดเร็วเท่าการฉีดสารลดริ้วรอยโดยตรง
5. Belotero Revive
Belotero Revive คือสกินบูสเตอร์ที่ โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างกรดไฮยาลูรอนิก (HA) และกลีเซอรอล ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดโดยเฉพาะ
ส่วนผสมของกลีเซอรอลซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ จะทำงานร่วมกับ HA เพื่อช่วยดึงดูดและกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกและยาวนานขึ้น จากการศึกษาพบว่าการรักษาด้วย Belotero Revive เพียงครั้งเดียวสามารถเพิ่มความชุ่มชื้น ลดรอยแดง และลดขนาดรูขุมขนได้อย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การเลือกยี่ห้อ Skin Booster ให้เหมาะกับผิวของคุณ
เกณฑ์การเลือกยี่ห้อ Skin Booster คือ การพิจารณาสภาพผิว ความหนาของผิว และผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก
การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลสามารถพิจารณาได้ดังนี้
- ตามความหนาของผิว:
- ผิวบางและบอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตาและลำคอ เหมาะกับผลิตภัณฑ์เนื้อเบาอย่าง Restylane Vital Light
- ผิวหนาหรือผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นกว่า เช่น Juvéderm Volite
- ตามผลลัพธ์ที่ต้องการ:
- ต้องการฟื้นฟูผิวเสียจากแดดและเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ: Belotero Revive ซึ่งมีส่วนผสมของ glycerol จะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน
- ต้องการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวระดับเซลล์: Rejuran Healer ซึ่งเป็นสารกลุ่ม Polynucleotide (PN) จะเน้นการซ่อมแซมโครงสร้างผิว
- ต้องการผลลัพธ์คล้ายเมโสเทอราพีและลดริ้วรอยเล็กๆ: Neuraderm Skin Booster มีส่วนผสมของเปปไทด์ที่อาจช่วยคลายริ้วรอยเล็กๆ ได้
ผลลัพธ์และระยะเวลา: ฉีดกี่ครั้งเห็นผลและอยู่ได้นานแค่ไหน
โดยทั่วไป ต้องฉีด 2-3 ครั้งในช่วงแรกจึงจะเห็นผลเต็มที่ และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
ในช่วงเริ่มต้นมักแนะนำให้ฉีด 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกันประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและปรับปรุงคุณภาพผิวอย่างสมบูรณ์ แม้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์เรื่องความชุ่มชื้นและความโกลว์ได้ภายใน 1-2 สัปดาห์แรก แต่ผลด้านความยืดหยุ่นและผิวเรียบเนียนจะชัดเจนขึ้นในเดือนถัดมา
หลังจากครบคอร์สแล้ว ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ สภาพผิว และการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล โดยแนะนำให้กลับมาฉีดซ้ำ 1 ครั้งทุกๆ 6-9 เดือนเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้
ราคา Skin Booster: ปัจจัยกำหนดค่าใช้จ่ายและราคาโดยประมาณ
ราคาของ Skin Booster ต่อครั้งในประเทศไทยโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 ถึง 25,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ปัจจัยหลักที่กำหนดราคา ได้แก่:
- ยี่ห้อและสูตรของผลิตภัณฑ์: ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ต่างๆ เช่น Juvéderm Volite, Belotero Revive หรือ Rejuran มีต้นทุนและราคาที่แตกต่างกัน
- ปริมาณที่ใช้: ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในแต่ละครั้ง เช่น 1cc หรือ 2cc
- ชื่อเสียงและที่ตั้งของคลินิก: คลินิกชั้นนำในทำเลใจกลางเมืองมักมีราคาสูงกว่า
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์: ประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ผู้ทำหัตถการ
- โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: การซื้อคอร์สแบบหลายครั้งมักจะได้รับราคาต่อครั้งที่ถูกลง
ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจฉีด Skin Booster
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เอกสารที่ให้มาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่มีการกล่าวถึงความสำคัญของการเลือกผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียงและแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีด
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดสกินบูสเตอร์คือ การหลีกเลี่ยงยา อาหารเสริม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ และควรแจ้งประวัติสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบ
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ ควรปฏิบัติดังนี้:
- งดยาและอาหารเสริม: หากได้รับอนุญาตจากแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดบางลง เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอี และน้ำมันปลา เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดแอลกอฮอล์: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนการนัดหมาย
- เตรียมผิว: ควรมาพบแพทย์ด้วยใบหน้าที่สะอาดและปราศจากเครื่องสำอาง
- ให้ข้อมูลแพทย์: ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ อาการแพ้ และยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัย
การดูแลตัวเองหลังฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การดูแลตัวเองหลังฉีดสกินบูสเตอร์ที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาดบริเวณที่ฉีด หลีกเลี่ยงการสัมผัส งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด และปกป้องผิวจากแสงแดด เพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและได้ผลลัพธ์สูงสุด
ข้อควรปฏิบัติมีดังนี้:
- วันแรก: ห้ามสัมผัส กด หรือนวดบริเวณที่ฉีด และงดแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมงเพื่อให้รอยเข็มปิดสนิท สามารถล้างหน้าเบาๆ ในช่วงเย็นด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
- 48 ชั่วโมงแรก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสัมผัสความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรือห้องสตรีม เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรืออาการบวมเพิ่มขึ้น
- การดูแลต่อเนื่อง: ทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) ทุกวันเพื่อปกป้องผิวและช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น และควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
ข้อควรระวัง: ผลข้างเคียงและความเสี่ยงของ Skin Booster
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตามปกติ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตามปกติคือ รอยแดง บวม ช้ำ หรือตุ่มเล็กๆ บริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดเล็กน้อยหรือคันร่วมด้วย โดยสามารถบรรเทาอาการบวมได้ด้วยการประคบเย็น
ข้อห้ามและกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีด
กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Skin Booster ได้แก่ สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบของผิวหนัง, ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ และผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร: ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากยังไม่มีการศึกษาด้านความปลอดภัยที่ยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์หรือทารกแรกเกิด
- ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบของผิวหนัง: เช่น สิวอักเสบ, เริม, ผิวหนังอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่จะฉีด ควรเลื่อนการฉีดออกไปจนกว่าผิวหนังจะหายดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อลุกลาม
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์: มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นนูนหลังการฉีด แพทย์อาจต้องประเมินเป็นพิเศษหรือทำการทดสอบก่อน
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ: แม้จะไม่ใช่ข้อห้ามเด็ดขาด แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยช้ำได้ง่ายกว่าปกติ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีด Skin Booster
ฉีด Skin Booster เจ็บไหม?
โดยทั่วไปจะมีการทายาชาเฉพาะที่ก่อนการฉีดเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด ทำให้ในระหว่างทำหัตถการจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งข้อมูลระบุว่าหลังจากฉีดเสร็จ คลินิกมักจะเช็ดทำความสะอาดยาชาที่ทาไว้ออกให้ แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาชาเป็นขั้นตอนปกติของกระบวนการ
ฉีด Skin Booster อันตรายหรือไม่?
การฉีด Skin Booster โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้และมีข้อห้ามสำหรับบางกลุ่ม
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมักไม่รุนแรงและหายได้เอง เช่น รอยช้ำ อาการบวม รอยแดง หรือตุ่มเล็กๆ บริเวณที่ฉีด อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามสำหรับบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ควรทำหัตถการนี้ ได้แก่
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบบนผิวหนังบริเวณที่จะฉีด เช่น สิวอักเสบ เริม หรือผิวหนังอักเสบ
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นนูน อาจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
Skin Booster เหมาะกับใครบ้าง?
สกินบูสเตอร์เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และเรียบเนียนขึ้น โดยเป็นการดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่ใช่การผ่าตัด
โดยทั่วไป แพทย์จะประเมินสภาพผิวโดยรวม เช่น ความหนาของผิว เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น ผิวบางและบอบบางอาจเหมาะกับบูสเตอร์ชนิดเบา ในขณะที่ผิวหนาหรือผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดอาจเหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นกว่า
ต้องฉีด Skin Booster กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?
จำนวนครั้งในการฉีด Skin Booster ขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์และสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 1-3 ครั้ง
ผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น Juvéderm Volite หรือ Belotero Revive ถูกออกแบบมาให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตั้งแต่การฉีดครั้งแรก ในขณะที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นอาจต้องฉีด 2-3 ครั้งในช่วงแรก โดยเว้นระยะห่างกันประมาณ 1 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ผลลัพธ์ของ Skin Booster อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของ Skin Booster จะอยู่ได้นาน 6 ถึง 12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่ใช้และปัจจัยส่วนบุคคลของแต่ละคน แพทย์มักแนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุกๆ 6-12 เดือนเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้
หลังฉีด Skin Booster ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังฉีด Skin Booster ควรดูแลตัวเองโดยการรักษาความสะอาดบริเวณที่ฉีด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวด และงดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนหรือเหงื่อออกมาก
คำแนะนำในการดูแลตัวเองเพิ่มเติมมีดังนี้:
- งดแต่งหน้า: หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อให้รอยเข็มปิดสนิท
- ทำความสะอาด: สามารถล้างหน้าเบาๆ ในตอนเย็นของวันที่ฉีดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและน้ำอุณหภูมิปกติ
- หลีกเลี่ยงความร้อนและการออกกำลังกาย: งดออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออบไอน้ำเป็นเวลา 48 ชั่วโมงถึง 2 สัปดาห์ เพื่อลดอาการบวมหรือรอยช้ำ
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ
- อาหารและเครื่องดื่ม: หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารรสเค็มจัดในช่วง 1-2 วันแรก
- ดื่มน้ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้สารไฮยาลูรอนิก (HA) อุ้มน้ำได้ดีขึ้น
References:
- Galderma. Restylane Vital Light and Vital injectable skin booster product information. galderma.com
- Allergan Aesthetics. Juvéderm Volite hyaluronic acid skin quality treatment. allerganaesthetics.com
- Rejuran. Polynucleotide skin booster (PN/PDRN) for skin regeneration. rejuran.com
- Merz Aesthetics. Belotero Revive product information and clinical studies. merzaesthetics.com
- Kerscher, M., et al. (2021). Clinical study on Belotero Revive hydration improvement and skin quality enhancement. Medical journal.
- Cosmoderma. Comprehensive guide to skin boosters and hydration treatments. cosmoderma.org
