กระลึก: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษาที่ได้ผลจริง

กระลึกคืออะไร
กระลึก (Hori’s Nevus) คือภาวะความผิดปกติของเม็ดสีที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีไปอยู่ในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดเป็นรอยจุดสีน้ำตาลเทาหรือเทาอมฟ้า ซึ่งมักพบบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างอย่างสมมาตร จัดเป็นภาวะ Acquired Dermal Melanocytosis (ADM) ชนิดหนึ่ง
ลักษณะสำคัญของกระลึก ได้แก่
- ลักษณะรอยโรค: เป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลเทา เทาอมฟ้า หรือสีหินชนวน อาจรวมตัวกันเป็นปื้น สีที่อมฟ้าเกิดจากเม็ดสีอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นผลจากปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall effect)
- บริเวณที่พบ: มักเกิดแบบสมมาตรบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง และอาจพบได้ที่ขมับ หน้าผาก สันจมูก และปีกจมูก แต่จะไม่พบในเยื่อบุตาหรือเยื่อบุในช่องปาก
- ช่วงวัยที่เริ่มเป็น: มักเริ่มปรากฏในช่วงวัยผู้ใหญ่ อายุประมาณ 20-40 ปี ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดเหมือนปานโอตะ (Nevus of Ota)
- สาเหตุ: เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ควรจะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า กลับไปตกค้างอยู่ในชั้นหนังแท้ตั้งแต่ช่วงพัฒนาการของตัวอ่อน และถูกกระตุ้นให้ทำงานในวัยผู้ใหญ่ โดยมีปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวข้องคือฮอร์โมนและแสงแดด (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
ความหมายและลักษณะของกระลึก
กระลึก (Hori’s Nevus) คือภาวะที่เซลล์เม็ดสีไปอยู่ผิดที่ในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดเป็นจุดหรือปื้นสีเทาอมฟ้าหรือสีน้ำตาลเทาบนใบหน้า โดยมักเริ่มปรากฏในช่วงวัยผู้ใหญ่
ลักษณะสำคัญของกระลึก ได้แก่
- ลักษณะรอยโรค: เป็นจุดหรือปื้นเรียบสีเทาอมฟ้า สีเทา หรือสีน้ำตาลเทา มักขึ้นเป็นกลุ่มๆ และอาจรวมกันเป็นปื้นใหญ่
- ตำแหน่ง: พบได้แบบสมมาตรทั้งสองข้างของใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม นอกจากนี้ยังอาจพบได้ที่ขมับ หน้าผาก เปลือกตาล่าง และข้างจมูก
- สี: สีเทาอมฟ้าเกิดจากปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall effect) เนื่องจากเม็ดสีอยู่ลึกในชั้นหนังแท้
- ข้อแตกต่าง: กระลึกจะไม่พบในบริเวณเยื่อบุตาหรือเยื่อบุในช่องปาก ซึ่งต่างจากปานโอตะ (Nevus of Ota) ที่มักเป็นมาแต่กำเนิดและอาจพบรอยโรคในตาได้ (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
กระลึกกับ Hori’s Nevus
กระลึก (Hori’s Nevus) คือจุดสีเทาอมฟ้าในชั้นหนังแท้ที่ปรากฏในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่กระ (Freckles) คือจุดสีน้ำตาลในชั้นหนังกำพร้าที่พบได้ตั้งแต่วัยเด็กและมีสีเข้มขึ้นเมื่อโดนแดด
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกระลึกและกระ สามารถสรุปได้ดังนี้
| คุณสมบัติ | กระลึก (Hori’s Nevus) | กระ (Freckles) |
|---|---|---|
| สี | เทาอมฟ้า, เทาเข้ม หรือน้ำตาลเทา | น้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลแดง |
| ความลึก | ชั้นหนังแท้ (Dermis) | ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) |
| ช่วงวัยที่เริ่มเป็น | วัยผู้ใหญ่ (อายุ 20-40 ปี) | วัยเด็ก |
| การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล | สีคงที่ตลอดปี ไม่จางลงในฤดูหนาว | เข้มขึ้นเมื่อโดนแดด และจางลงในฤดูหนาว |
| การกระจายตัว | มักเป็นสมมาตรบริเวณโหนกแก้มสองข้าง ขมับ และหน้าผาก | กระจายตัวบริเวณจมูกและแก้ม ซึ่งเป็นบริเวณที่โดนแดด |
ความแตกต่างที่สำคัญเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน โดยกระลึกจำเป็นต้องใช้เลเซอร์ในการรักษา ในขณะที่กระสามารถจางลงได้ด้วยการทายาและหลีกเลี่ยงแสงแดด (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
สาเหตุของกระลึก
เม็ดสีฝังลึกในชั้นหนังแท้
ภาวะเม็ดสีในหนังแท้ (Acquired Dermal Melanocytosis หรือ ADM) คือความผิดปกติของเม็ดสีที่เกิดจากการมีเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) อยู่ในชั้นหนังแท้ แทนที่จะอยู่ในชั้นหนังกำพร้าตามปกติ ทำให้เกิดรอยปื้นสีน้ำตาลเทาถึงสีเทาอมฟ้าบนผิวหนัง รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือ ปานโฮริ (Hori’s Nevus) ซึ่งมักปรากฏเป็นจุดสีเทาอมฟ้าสมมาตรกันบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างในวัยผู้ใหญ่ สีเทาอมฟ้าเกิดจากปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall effect) ซึ่งเป็นผลจากการที่แสงกระเจิงเมื่อตกกระทบเม็ดสีที่อยู่ลึก ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงชาวเอเชียตะวันออก และการรักษาหลักคือการใช้เลเซอร์ เนื่องจากครีมทาฝ้าทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงเม็ดสีที่อยู่ลึกได้ (Acquired bilateral nevus of Ota-like macules in children: Clinical findings in 46 patients, Journal of the American Academy of Dermatology, 2024)
ปัจจัยทางพันธุกรรม
ปานโฮริมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากความชุกในกลุ่มชาติพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจงและการเกิดในครอบครัว
ปัจจัยทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:
- ความเด่นชัดทางเชื้อชาติ พบได้บ่อยที่สุดในประชากรชาวเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน แต่พบได้น้อยในชาวคอเคเซียนและชาวแอฟริกัน
- การเกิดในครอบครัว แม้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเอง แต่มีรายงานพบผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นปานโฮริประมาณ 6.7% ถึง 20%
- ยีนที่อาจเกี่ยวข้อง แม้จะยังไม่มียีนที่ถูกระบุอย่างแน่ชัด แต่คาดว่าการกลายพันธุ์ของยีน เช่น GNAQ และ GNA11 ซึ่งพบในภาวะที่คล้ายกัน อาจมีบทบาทเกี่ยวข้องตามสมมติฐาน “two-hit model” ที่ความบกพร่องทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยแรก และมีปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมหรือฮอร์โมนเป็นปัจจัยที่สอง (Acquired bilateral nevus of Ota-like macules in children: Clinical findings in 46 patients, Journal of the American Academy of Dermatology, 2024)
แสงแดดและปัจจัยกระตุ้น
ปัจจัยกระตุ้นหลักของฝ้าโฮริ (Hori’s Nevus) คือ ปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและฮอร์โมน โดยมีปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่
- แสงอัลตราไวโอเลต (UV): แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รอยฝ้ามีสีเข้มขึ้น โดยเฉพาะในฤดูร้อน แต่ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลงมากกว่าเป็นสาเหตุเริ่มต้น
- อิทธิพลของฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิด เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ
- อายุและเพศ: ฝ้าโฮริมักปรากฏในช่วงอายุ 20-40 ปี และพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
ลักษณะและตำแหน่งที่พบกระลึก
สีและรูปร่างของกระลึก
กระลึกมีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบสีเทาอมฟ้า เทา หรือน้ำตาลเทา โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นจุดเรียบ (macules) ขนาดเล็กไม่กี่มิลลิเมตร อาจพบเป็นลักษณะจุดเล็กๆ กระจายตัว หรือรวมกันเป็นปื้นใหญ่ ผิวบริเวณดังกล่าวจะเรียบ ไม่นูน และไม่มีอาการเจ็บหรือคัน สีที่ปรากฏมีได้ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีเทาเข้มหรือสีน้ำเงินดำ ซึ่งเกิดจากเม็ดสีที่อยู่ลึกในชั้นหนังแท้ (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
บริเวณที่มักพบกระลึก
บริเวณที่พบบ่อยที่สุดของกระลึกคือโหนกแก้มทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นลักษณะสมมาตร นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ที่บริเวณขมับ, ด้านข้างของหน้าผาก, เปลือกตาล่าง, สันจมูก และปีกจมูก (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
วัยที่เริ่มปรากฏกระลึก
กระลึก (Hori’s Nevus) มักเริ่มปรากฏในช่วงวัยผู้ใหญ่ โดยพบบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 20 ถึง 40 ปี อายุเป็นปัจจัยสำคัญ โดยกระลึกแทบไม่ปรากฏก่อนวัยรุ่น และช่วงอายุ 20-40 ปี ถือเป็นช่วงที่พบการเกิดและสะสมของรอยโรคมากที่สุด ผู้ป่วยบางรายอาจเริ่มสังเกตเห็นรอยจางๆ ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรือช่วงอายุ 20 ต้นๆ ก่อนที่รอยจะค่อยๆ เข้มขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น (Annals of Dermatology, 2009)
กระลึกต่างจากกระตื้นและฝ้าอย่างไร
กระลึก (Hori’s Nevus) แตกต่างจากฝ้าและกระตื้นที่สี ความลึก และการตอบสนองต่อการรักษา โดยกระลึกเป็นจุดสีเทาอมฟ้าในชั้นหนังแท้ซึ่งต้องรักษาด้วยเลเซอร์ ในขณะที่ฝ้าเป็นปื้นสีน้ำตาล และกระตื้นเป็นจุดสีน้ำตาลในชั้นหนังกำพร้า
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญ:
| ลักษณะ | กระลึก (Hori’s Nevus) | ฝ้า (Melasma) | กระตื้น (Ephelides) |
|---|---|---|---|
| สี | เทาอมฟ้า หรือน้ำตาลเทา | น้ำตาลอ่อนถึงเข้ม | น้ำตาลอ่อน |
| ลักษณะ | เป็นจุดเล็กๆ ที่อาจรวมกันเป็นปื้น | เป็นปื้นแผ่นใหญ่ ขอบเขตไม่ชัดเจน | เป็นจุดเล็กๆ คมชัด กระจายตัว |
| ความลึก | ชั้นหนังแท้ (ลึก) | ส่วนใหญ่ที่ชั้นหนังกำพร้า (ตื้น) | ชั้นหนังกำพร้า (ตื้น) |
| การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล | สีค่อนข้างคงที่ตลอดปี | อาจเข้มขึ้นเมื่อโดนแดด | เข้มขึ้นในฤดูร้อน และจางลงในฤดูหนาว |
| การรักษาหลัก | เลเซอร์ | ยาทาและการลอกผิว | การป้องกันแสงแดด |
การวินิจฉัยที่ถูกต้องโดยแพทย์จึงมีความสำคัญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม (A comparative study of dermatoscopic features of melasma and Hori’s nevus in Asian patients, J. Clin. Aesthet. Dermatol., 2022)
กระลึก vs กระตื้น
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกระลึกและกระตื้นคือความลึกของเม็ดสี กระลึก (Hori’s Nevus) เป็นเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ทำให้มีสีเทาอมฟ้าและต้องรักษาด้วยเลเซอร์ ในขณะที่กระตื้น (Ephelides) เป็นเม็ดสีในชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลอ่อน และมักจะจางลงเมื่อไม่ได้โดนแดด (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
| คุณสมบัติ | กระลึก (Hori’s Nevus) | กระตื้น (Ephelides) |
|---|---|---|
| ความลึก | ชั้นหนังแท้ (Dermal) | ชั้นหนังกำพร้า (Epidermal) |
| สี | สีเทาอมฟ้า, สีเทาเข้ม, สีน้ำตาลอมเทา | สีน้ำตาลอ่อน, สีแทน |
| ช่วงวัยที่เริ่มเป็น | วัยผู้ใหญ่ (อายุ 20-40 ปี) | วัยเด็ก |
| การตอบสนองต่อแสงแดด | คงอยู่ตลอดปี อาจเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อโดนแดด | เข้มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อโดนแดด และจางลงในฤดูหนาว |
| ลักษณะ | เป็นจุดๆ ที่อาจรวมตัวกันเป็นปื้น | เป็นจุดเล็กๆ ขนาด 1-3 มม. กระจายตัว |
| การรักษา | ตอบสนองต่อเลเซอร์ (Q-switched หรือ Picosecond) | ตอบสนองต่อครีมทา การหลีกเลี่ยงแสงแดด และเลเซอร์ |
กระลึก vs ฝ้า
กระลึก (Hori’s Nevus) คือจุดสีฟ้าเทาในชั้นหนังแท้ ในขณะที่ฝ้าคือปื้นสีน้ำตาลในชั้นหนังกำพร้า ความแตกต่างที่สำคัญคือสี ความลึก และลักษณะของรอยโรค
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกระลึกและฝ้า:
| ลักษณะ | กระลึก (Hori’s Nevus) | ฝ้า (Melasma) |
|---|---|---|
| สี | ฟ้าเทา, เทา หรือน้ำตาลเทา | น้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม |
| ลักษณะ | เป็นจุดเล็กๆ แยกกันหรือรวมเป็นกลุ่ม | เป็นแผ่นปื้น ขอบเขตไม่ชัดเจน |
| ความลึก | ชั้นหนังแท้ (ผิวชั้นลึก) | ชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นตื้น) |
| การตรวจด้วย Wood’s Lamp | ไม่ชัดขึ้น | ชัดและเข้มขึ้น (ในฝ้าชนิดตื้น) |
| การตอบสนองต่อการรักษา | ตอบสนองดีต่อเลเซอร์ แต่ไม่ตอบสนองต่อยาทา | ตอบสนองต่อยาทาและครีมกันแดด |
ทั้งนี้ ภาวะทั้งสองอย่างสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ ซึ่งเรียกว่าเป็นภาวะเม็ดสีผสม (mixed pigmentation) (A comparative study of dermatoscopic features of melasma and Hori’s nevus in Asian patients, JCAD – J. Clin. Aesthet. Dermatol., 2022)
การแยกแยะประเภทกระบนใบหน้า
การแยกแยะประเภทกระและจุดด่างดำบนใบหน้าสามารถทำได้โดยพิจารณาจากสี ความลึก อายุที่เริ่มเป็น และลักษณะการกระจายตัวของรอยโรค ซึ่งสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญได้ดังนี้
| ประเภท | สี | ความลึก | อายุที่เริ่มเป็น | ลักษณะเด่น |
|---|---|---|---|---|
| กระโฮริ (Hori’s Nevus) | เทาอมฟ้า, เทาอมน้ำตาล | ลึก (ชั้นหนังแท้) | วัยผู้ใหญ่ (20-40 ปี) | เป็นจุดเล็กๆ สมมาตร 2 ข้างบริเวณโหนกแก้ม ไม่เข้มขึ้นเมื่อส่องด้วยไฟ Wood’s Lamp |
| ฝ้า (Melasma) | น้ำตาลอ่อนถึงเข้ม | ส่วนใหญ่ตื้น (ชั้นหนังกำพร้า) | วัยผู้ใหญ่ | เป็นปื้นสีน้ำตาลขอบเขตไม่ชัดเจน มักพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และเหนือริมฝีปาก จะเห็นชัดขึ้นเมื่อส่องด้วยไฟ Wood’s Lamp |
| กระแดด (Solar Lentigines) | น้ำตาลอ่อนถึงเข้ม | ตื้น (ชั้นหนังกำพร้า) | วัยกลางคนขึ้นไป (อายุ >40 ปี) | เป็นจุดสีน้ำตาลขอบเขตชัดเจนขนาดแตกต่างกันไป พบในบริเวณที่โดนแดดบ่อย |
| กระตื้น (Ephelides) | น้ำตาลอ่อน | ตื้น (ชั้นหนังกำพร้า) | วัยเด็ก | เป็นจุดเล็กๆ สีจะเข้มขึ้นเมื่อโดนแดด และจางลงในฤดูหนาว มักพบในคนผิวขาว |
การวินิจฉัยที่แม่นยำควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจใช้เครื่องมือช่วย เช่น เดอร์โมสโคป (Dermoscopy) เพื่อดูลักษณะของเม็ดสีในระดับลึกลงไป (A comparative study of dermatoscopic features of melasma and Hori’s nevus in Asian patients, Jcad – J. Clin. Aesthet. Dermatol., 2022)
วิธีรักษากระลึก
การรักษาฝ้าลึกหรือกระลึก (Hori’s Nevus) ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งสามารถทำลายเม็ดสีที่อยู่ในชั้นผิวหนังแท้ได้
วิธีการรักษาหลักๆ มีดังนี้:
- เลเซอร์ในกลุ่ม Q-switched (Nanosecond Lasers) เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้กันมานาน สามารถทำลายเม็ดสีในชั้นหนังแท้ได้ดี เช่น Q-switched Nd:YAG laser ซึ่งปลอดภัยกับผิวคนเอเชีย โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง (ประมาณ 4-10 ครั้ง) ทุก 4-8 สัปดาห์
- เลเซอร์ในกลุ่ม Picosecond เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า สามารถแตกเม็ดสีให้มีขนาดเล็กกว่าเลเซอร์ Q-switched ทำให้ร่างกายกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น อาจใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH)
- การรักษาเสริมอื่นๆ (Adjunctive Treatments) มักใช้ร่วมกับการทำเลเซอร์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น การทายาลดเม็ดสี (Hydroquinone, Retinoids) เพื่อเตรียมผิวก่อนทำเลเซอร์และรักษารอยดำที่อาจเกิดขึ้น, การรับประทานยาบางชนิด (Tranexamic Acid) และที่สำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้กระกลับมาเข้มขึ้น (Q-switched Nd:YAG laser therapy of acquired bilateral nevus of Ota-like macules, Annals of Dermatology, 2009)
การรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาฝ้าโฮริด้วยเลเซอร์ที่ได้ผลดีที่สุดคือ การใช้เลเซอร์ในกลุ่ม Q-switched และ Picosecond ซึ่งจะปล่อยพลังงานแสงที่เข้มข้นในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อทำลายเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ให้แตกตัว จากนั้นร่างกายจะกำจัดเม็ดสีที่แตกตัวออกไปเอง
เลเซอร์ที่นิยมใช้ในการรักษามีดังนี้
- เลเซอร์ Q-switched (Nanosecond): เป็นการรักษามาตรฐานที่ใช้กันมานานและได้ผลดี โดยเฉพาะ Q-Switched Nd:YAG 1064 nm ซึ่งถือเป็นตัวเลือกแรกเนื่องจากมีความปลอดภัยสูงกับผิวของคนเอเชีย โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่อง 4–10 ครั้ง ห่างกันทุก 4–8 สัปดาห์
- เลเซอร์ Picosecond: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า มีช่วงการปล่อยพลังงานที่สั้นกว่า Q-switched ทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียดกว่า จึงอาจใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่า และมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) น้อยกว่า
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือรอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราวและสามารถจางลงได้เอง หลังการรักษาจนเม็ดสีจางลงแล้ว ผลลัพธ์มักจะคงอยู่และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำน้อยมาก หากดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ (Q-Switched Nd:YAG Laser Therapy of Acquired Bilateral Nevus of Ota-like Macules, Annals of Dermatology, 2009)
PICO Laser สำหรับกระลึก
PICO Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการรักษากระลึก (Hori’s Nevus) โดยใช้พลังงานแสงในช่วงเวลาสั้นระดับพิโควินาที (picosecond) เพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กมาก ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น หลักการนี้อาจช่วยให้รอยโรคจางลงโดยใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่า และอาจมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) น้อยกว่าเลเซอร์ Q-switched แบบดั้งเดิม
เลเซอร์ PICO ที่นิยมใช้รักษากระลึก ได้แก่:
- ความยาวคลื่น 755 นาโนเมตร (Alexandrite)
- ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร (Nd:YAG)
- ความยาวคลื่น 730 นาโนเมตร (Titanium:Sapphire)
โดยทั่วไปต้องทำประมาณ 3-4 ครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่บางกรณีที่รอยโรคมีความหนาแน่นอาจต้องทำหลายครั้งกว่านั้น (Journal of Cosmetic and Laser Therapy, 2021)
Q-Switch Laser
เลเซอร์คิวสวิตช์ (Q-switched laser) เป็นการรักษาหลักและเป็นมาตรฐานสูงสุด (gold standard) สำหรับปานโฮริ (acquired dermal melanocytosis) เลเซอร์ชนิดนี้ทำงานโดยการปล่อยพลังงานแสงความเข้มสูงในช่วงเวลาสั้นๆ ระดับนาโนวินาที เพื่อทำให้เม็ดสีในชั้นหนังแท้แตกกระจายออกเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วให้ร่างกายกำจัดออกไปเอง
โดยทั่วไปต้องทำการรักษาประมาณ 4–10 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4–8 สัปดาห์ ซึ่งสามารถทำให้รอยโรคจางลงได้ 50–90% เลเซอร์ Q-switched Nd:YAG ที่ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ถือเป็นตัวเลือกแรกในการรักษา เนื่องจากลงไปได้ลึกและปลอดภัยสำหรับผิวชาวเอเชีย ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราว ส่วนความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นนั้นพบได้น้อยมาก (Q-Switched Nd:YAG Laser Therapy of Acquired Bilateral Nevus of Ota-like Macules, Annals of Dermatology, 2009)
PicoSure และเทคโนโลยีใหม่
PicoSure คือเลเซอร์ชนิดพิโค (picosecond laser) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่และมีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าโฮริ (Hori’s Nevus) เลเซอร์ชนิดนี้ใช้พลังงานคลื่นสั้นในระดับพิโควินาที (picosecond) ซึ่งสั้นกว่าเลเซอร์ Q-switched แบบเดิม (nanosecond) ทำให้สามารถแตกเม็ดสีในชั้นหนังแท้ให้มีขนาดเล็กลงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้ร่างกายกำจัดเม็ดสีได้เร็วขึ้น จึงอาจใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าและมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) น้อยกว่า
เทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ที่ใช้ในการรักษาฝ้าโฮริ ได้แก่:
- การใช้เลเซอร์แบบผสมผสาน: เช่น การใช้เลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิวแบบ Fractional (เช่น Fractional CO₂ หรือ Er:YAG) ร่วมกับเลเซอร์ Q-switched เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเม็ดสี
- การใช้เลเซอร์หลายชนิดตามลำดับ: คือการใช้เลเซอร์ต่างชนิดกันในแต่ละครั้งของการรักษาเพื่อกำจัดเม็ดสีที่อยู่ในระดับความลึกที่แตกต่างกัน
การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy)
การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy) ให้ผลการรักษาที่ไม่น่าพอใจและไม่แนะนำให้ใช้รักษาฝ้าโฮริ เนื่องจากเม็ดสีของฝ้าโฮริอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ การใช้ความเย็นเพื่อทำลายเซลล์เม็ดสีจึงทำได้ไม่แม่นยำและอาจต้องใช้ความเย็นในระดับที่รุนแรง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) รอยด่างขาว หรือแผลเป็น โดยเฉพาะในผิวของคนเอเชีย ปัจจุบันเลเซอร์ได้เข้ามาแทนที่การรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว เพราะมีความจำเพาะและปลอดภัยกว่ามาก (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) ไม่ได้ผลในการรักษาฝ้าโฮริโดยตรง เนื่องจากการรักษานี้เป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าหรือชั้นนอกสุดเท่านั้น จึงไม่สามารถเข้าถึงเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ได้ อย่างไรก็ตาม การกรอผิวอาจมีประโยชน์ในฐานะทรีตเมนต์เสริมเพื่อช่วยปรับสภาพผิวโดยรวมและเพิ่มการดูดซึมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆ แต่ไม่ใช่การรักษาหลักสำหรับภาวะนี้ (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
ครีมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
ครีมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีประสิทธิภาพจำกัดมากในการรักษาฝ้าโฮริ (Hori’s nevus) เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเม็ดสีของฝ้าโฮริอยู่ในชั้นหนังแท้ซึ่งลึกเกินกว่าที่ครีมจะซึมลงไปถึงได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาร่วมกับการทำเลเซอร์
ผลิตภัณฑ์ลดเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) และเรตินอยด์ (retinoids) มักถูกใช้ในกรณีต่อไปนี้
- การเตรียมผิวก่อนทำเลเซอร์: เพื่อลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีและลดความเสี่ยงของรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)
- การรักษารอยดำหลังทำเลเซอร์: หากเกิดรอยดำขึ้นหลังทำเลเซอร์ สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น
- การคงผลการรักษา: เพื่อช่วยให้ผิวโดยรวมดูกระจ่างใสและป้องกันการเกิดเม็ดสีใหม่ๆ ที่ผิวชั้นบน (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
กระลึกรักษาหายได้ไหม
ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการรักษา
การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถทำให้รอยดำจางลงอย่างมากหรือเกือบทั้งหมด และผลลัพธ์มักจะคงอยู่เป็นเวลานาน การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Q-switched และ Picosecond ถือเป็นวิธีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปานโฮริ
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเห็นว่ารอยดำจางลง 50-90% หลังจากทำการรักษาครบตามจำนวนครั้งที่แนะนำ
- โดยทั่วไปต้องทำการรักษา 4-10 ครั้ง ห่างกันทุก 4-8 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ผลลัพธ์ที่ได้มักจะคงอยู่ถาวรและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำการรักษาจนครบและมีการป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ (Acquired bilateral nevus of Ota-like macules in children: Clinical findings in 46 patients, Journal of the American Academy of Dermatology, 2024)
จำนวนครั้งในการรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาฝ้าโฮริด้วยเลเซอร์ โดยทั่วไปต้องทำ 4-10 ครั้ง สำหรับเลเซอร์ Q-switched และอาจใช้จำนวนครั้งน้อยกว่าสำหรับเลเซอร์พิโครวินาที (picosecond)
- เลเซอร์ Q-switched: โดยเฉลี่ยต้องทำประมาณ 5-7 ครั้ง แต่บางกรณีอาจต้องทำถึง 10 ครั้งหรือมากกว่า โดยเว้นระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้ง 4-8 สัปดาห์
- เลเซอร์ Picosecond: มีหลักฐานว่าสามารถเห็นผลโดยใช้จำนวนครั้งน้อยกว่า โดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 ครั้ง (Q-Switched Nd:YAG Laser Therapy of Acquired Bilateral Nevus of Ota-like Macules, Annals of Dermatology, 2009)
ระยะเวลาการรักษาและการฟื้นตัว
การรักษาฝ้าโฮริ (Hori’s Nevus) ต้องทำเลเซอร์หลายครั้ง โดยแต่ละครั้งใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ การรักษาโดยทั่วไปต้องใช้เลเซอร์คิวสวิตช์ (Q-switched laser) ประมาณ 4–10 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้ง 4–8 สัปดาห์เพื่อให้เม็ดสีถูกกำจัดออกไปและผิวได้ฟื้นตัว
หลังการทำเลเซอร์ในแต่ละครั้ง:
- 1-2 วันแรก: ผิวจะมีอาการแดง บวม และอาจเกิดสะเก็ดบางๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
- 3-5 วัน: สะเก็ดจะเริ่มหลุดลอกออกไป
- 7-10 วัน: ผิวชั้นนอกจะฟื้นตัวเต็มที่ แต่ยังอาจมีรอยชมพูอยู่บ้าง
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 1-2 วันหลังทำเลเซอร์ (Q-Switched Nd:YAG Laser Therapy of Acquired Bilateral Nevus of Ota-like Macules, Annals of Dermatology, 2009)
การดูแลหลังรักษาและป้องกันกระลึกกลับมาเป็นซ้ำ
การดูแลผิวหลังยิงเลเซอร์
การดูแลผิวหลังยิงเลเซอร์ที่สำคัญคือการประคบเย็น ทาขี้ผึ้งให้ความชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูผิวและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
แนวทางการดูแลผิวมีดังนี้:
- ช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก: ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมแดง ทำความสะอาดผิวเบาๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และทาขี้ผึ้ง (เช่น วาสลีน) เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและปกป้องผิว ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนหรือเหงื่อออกมาก
- ช่วงสัปดาห์แรก: ห้ามแกะหรือเกาสะเก็ดแผลโดยเด็ดขาด ทาครีมกันแดด SPF 50+ ทันทีที่ผิวเริ่มสมานตัว (ประมาณวันที่ 3-5) และงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง เช่น เรตินอยด์หรือกรดต่างๆ
- การดูแลทั่วไป: สามารถกลับมาแต่งหน้าได้เมื่อผิวปิดสนิทดีแล้ว (ประมาณ 1 สัปดาห์) และควรพบแพทย์ทันทีหากมีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีหนอง หรืออาการปวดบวมแดงเพิ่มขึ้น (MedPark Hospital, 2024)
การป้องกันแสงแดด
การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาฝ้าโฮริ (Hori’s Nevus) และป้องกันไม่ให้รอยดำกลับมาเป็นซ้ำหรือเข้มขึ้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และป้องกันรังสี UVA ได้สูงเป็นประจำทุกวัน และควรเลือกใช้สูตรที่สามารถป้องกันแสงที่มองเห็นได้ (visible light) ซึ่งมักมีส่วนผสมของ iron oxide
นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว ควรใช้วิธีป้องกันทางกายภาพร่วมด้วย เช่น
- สวมหมวกปีกกว้าง
- ใส่แว่นกันแดด
- ใช้ร่มกันแดด
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในช่วงเวลา 10.00-16.00 น.
การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอตลอดชีวิตเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรักษาสภาพผิวหลังการรักษาและลดโอกาสที่รอยดำจะกลับมาเข้มขึ้นหรือเกิดซ้ำ (MedPark Hospital, 2024)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำ
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสริม แต่ไม่สามารถรักษาฝ้าโฮริ (Hori’s Nevus) ให้หายขาดได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเม็ดสีอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักใช้เพื่อเตรียมผิวก่อนการทำเลเซอร์ จัดการผลข้างเคียง และดูแลผิวในระยะยาว
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำตามบทบาทหน้าที่ ได้แก่:
- ครีมกันแดด: สำคัญที่สุด ควรเป็นสูตร Broad-spectrum ที่มีค่า SPF 50+ และมีส่วนผสมที่ช่วยป้องกันแสงที่มองเห็นได้ (Visible Light) เช่น Iron Oxide
- สารยับยั้งการสร้างเม็ดสี: เช่น ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone), เรตินอยด์ (Retinoids) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) มักใช้เพื่อเตรียมผิวก่อนทำเลเซอร์และรักษาภาวะเม็ดสีเข้มขึ้นหลังการอักเสบ (PIH)
- สารต้านอนุมูลอิสระ: วิตามินซี (Vitamin C) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยปรับโทนสีผิวโดยรวมให้สว่างขึ้นและช่วยคงผลการรักษาไว้
- ผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมเกราะป้องกันผิว: ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนและมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramides) เพื่อให้ผิวแข็งแรง (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
วิธีป้องกันไม่ให้กระลึกกลับมา
การป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด คือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้กระลึก (Hori’s nevus) กลับมาเป็นซ้ำ
นอกจากการหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้ว ควรดูแลผิวอย่างต่อเนื่องด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น วิตามินซีและเรตินอยด์ รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการระคายเคืองผิว เพื่อรักษาสภาพผิวและป้องกันการกลับมาของเม็ดสีในระยะยาว โดยมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด ได้แก่:
- การทาครีมกันแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และป้องกันรังสี UVA ได้สูง (Broad-spectrum) ทุกวัน โดยควรเลือกชนิดที่มีส่วนผสมของ Iron Oxide เพื่อป้องกันแสงที่มองเห็นได้ และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- การใช้อุปกรณ์ป้องกันแดด: สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด หรือกางร่มเพื่อลดการสัมผัสแดดโดยตรง (Review on acquired bilateral nevus of ota-like macules, Hong Kong Dermatology & Venereology Bulletin, 2001)
เลือกคลินิกรักษากระลึกอย่างไร
ควรเลือกแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองและมีประสบการณ์ในการรักษากระลึก โดยเฉพาะในผิวของคนเอเชีย และใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่เหมาะสม
ปัจจัยสำคัญในการเลือกคลินิกเพื่อรักษากระลึก (Hori’s Nevus) มีดังนี้
- คุณสมบัติและประสบการณ์ของแพทย์: ควรเป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางที่มีประสบการณ์ในการรักษาภาวะเม็ดสีในชั้นหนังแท้ และคุ้นเคยกับสภาพผิวของคนเอเชีย อาจขอดูภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังการรักษาเพื่อประกอบการตัดสินใจ
- เทคโนโลยีที่ใช้: คลินิกควรมีเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสมกับการรักษากระลึก เช่น Q-switched หรือ Picosecond laser ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและมีประสิทธิภาพในการทำลายเม็ดสีในชั้นหนังแท้
- การให้ข้อมูลตามจริง: แพทย์ที่ดีจะให้ข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับผลลัพธ์ โดยจะอธิบายว่าการรักษาต้องทำหลายครั้ง และผลลัพธ์อาจดีขึ้นประมาณ 70-90% รวมถึงอธิบายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH)
- กระบวนการให้คำปรึกษา: มีการตรวจประเมินผิวอย่างละเอียด อธิบายแผนการรักษา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงอย่างโปร่งใส พร้อมเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย
- ความน่าเชื่อถือ: ควรเลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงการตัดสินใจจากราคาที่ถูกเกินจริง หรือการโฆษณาที่รับประกันผลลัพธ์เกินจริง (Dr. Davin Lim Dermatology Blog, 2025)
คุณสมบัติของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมที่สุดคือแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ (board-certified dermatologist) ซึ่งมีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อความงาม นอกจากนี้ ควรพิจารณาคุณสมบัติอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
- ประสบการณ์ ควรมีประสบการณ์ในการรักษาฝ้าลึกและสภาพผิวของคนเอเชียโดยเฉพาะ
- เทคโนโลยี คลินิกควรมีอุปกรณ์เลเซอร์ที่เหมาะสม เช่น Q-switched หรือ Picosecond laser ที่ได้รับการรับรอง
- การให้ข้อมูลที่สมจริง แพทย์ที่ดีจะให้ข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ และไม่รับประกันผล 100%
- ชื่อเสียงและรีวิว ควรตรวจสอบรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ป่วยรายอื่น ๆ
- การให้คำปรึกษา มีการประเมินสภาพผิวอย่างละเอียดและอธิบายแผนการรักษา ความเสี่ยง และทางเลือกต่าง ๆ อย่างชัดเจน (Dr. Davin Lim Dermatology Blog, 2025)
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ควรมี
เครื่องมือวินิจฉัยที่สำคัญคือเดอร์โมสโคปและหลอดไฟวูดส์ ส่วนเทคโนโลยีการรักษาหลักคือเลเซอร์กลุ่ม Q-switched และ Picosecond โดยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ควรมีเพื่อการวินิจฉัยและรักษาฝ้าโฮริอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
เครื่องมือวินิจฉัย
- เดอร์โมสโคป (Dermoscopy): กล้องส่องขยายผิวหนังที่ช่วยให้แพทย์สามารถแยกเม็ดสีในชั้นหนังแท้ (ฝ้าโฮริ) ซึ่งมักจะเห็นเป็นจุดสีฟ้าเทา ออกจากเม็ดสีในชั้นหนังกำพร้า (เช่น ฝ้าชนิดตื้น) ที่มักเห็นเป็นร่างแหสีน้ำตาล
- หลอดไฟวูดส์ (Wood’s Lamp): แสงอัลตราไวโอเลตที่ใช้ประเมินความลึกของเม็ดสี โดยฝ้าโฮริซึ่งอยู่ลึกจะไม่เด่นชัดขึ้นภายใต้แสงนี้ ในขณะที่ฝ้าชนิดตื้นจะเห็นได้ชัดเจนและเข้มขึ้น
- การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): ถือเป็นวิธีมาตรฐานสูงสุด (gold standard) เพื่อยืนยันการวินิจฉัยในกรณีที่ไม่แน่ใจ โดยจะแสดงให้เห็นเซลล์เม็ดสีในชั้นหนังแท้
เทคโนโลยีการรักษา
- เลเซอร์ Q-Switched (Nanosecond): เป็นมาตรฐานหลักในการรักษาและเป็นตัวเลือกแรก มีหลายชนิด ได้แก่
- QS Nd:YAG (1064 nm): ปลอดภัยสูงและมีประสิทธิภาพดีสำหรับผิวของคนเอเชีย
- QS Alexandrite (755 nm): มีประสิทธิภาพดีและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นิยม
- QS Ruby (694 nm): ดูดซับเม็ดสีได้ดีมาก แต่อาจมีความเสี่ยงต่อผิวชั้นบนมากกว่าชนิดอื่น
- เลเซอร์ Picosecond: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ซึ่งมีหลักฐานว่าอาจให้ผลการรักษาที่เร็วกว่าและใช้จำนวนครั้งน้อยกว่าเลเซอร์ Q-Switched ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเกิดผลข้างเคียง (PIH) น้อยกว่า (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
การวินิจฉัยส่วนใหญ่มักทำได้โดยอาศัยลักษณะทางคลินิก โดยพิจารณาจากลักษณะรอยโรคและการกระจายตัวที่จำเพาะ ซึ่งแพทย์อาจใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจร่างกาย: แพทย์จะวินิจฉัยจากลักษณะรอยโรคที่เป็นจุดหรือปื้นเรียบสีเทาอมฟ้า (blue-gray) หรือสีเทาอมน้ำตาล (brownish-gray) แบบสมมาตรทั้งสองข้าง โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม (malar cheeks) ในผู้ใหญ่ชาวเอเชีย
- การตรวจด้วยหลอดไฟวูดส์แลมป์ (Wood’s Lamp): รอยโรคจะไม่เข้มขึ้นเมื่อตรวจด้วยแสงยูวี เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นหนังแท้ ซึ่งแตกต่างจากฝ้าชนิดตื้นที่จะเห็นขอบเขตชัดเจนและเข้มขึ้น
- การตรวจด้วยเดอร์โมสโคป (Dermoscopy): จะเห็นเป็นกลุ่มสีเทาอมฟ้าหรือน้ำตาลอมฟ้า ไม่มีลักษณะร่างแหของเส้นสีน้ำตาล (reticulated network) เหมือนที่พบในฝ้า
- การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ (Biopsy): จะทำในกรณีที่การวินิจฉัยไม่แน่นอน โดยจะพบเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ที่มีแขนง (dendritic) กระจายอยู่ในชั้นหนังแท้ (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
ราคาการรักษากระลึก
ค่าใช้จ่ายเลเซอร์กระลึกต่อครั้ง
ค่าใช้จ่ายในการทำเลเซอร์กระลึกต่อครั้งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7,000 – 15,000 บาท ราคาอาจแตกต่างกันไปอย่างมาก ขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้ง ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ และชนิดของเลเซอร์ที่ใช้
- ในเอเชีย (เช่น เกาหลีใต้หรือไทย): ราคาอาจอยู่ที่ประมาณ 200-400 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง (ประมาณ 7,000 – 15,000 บาท)
- ในสหรัฐอเมริกา: ราคาอาจสูงถึง 300-800 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง (ประมาณ 11,000 – 30,000 บาท)
- ชนิดของเลเซอร์: โดยทั่วไปเลเซอร์ชนิด Picosecond จะมีราคาสูงกว่าเลเซอร์ชนิด Q-switched (Best Hori naevus treatment in Australia 2025, Dr. Davin Lim Dermatology Blog, 2025)
แพ็กเกจการรักษาและโปรโมชั่น
คลินิกหลายแห่งเสนอการรักษาในรูปแบบแพ็กเกจ เนื่องจากการรักษาฝ้าโฮริต้องทำเลเซอร์หลายครั้ง
แพ็กเกจเหล่านี้มักมีส่วนลด เช่น ซื้อ 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง หรือเสนอราคาเหมาสำหรับจำนวนครั้งที่กำหนด ซึ่งอาจรวมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลังการรักษาหรือการนัดหมายเพื่อติดตามผลโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังข้อเสนอราคาถูกเป็นพิเศษ เพราะอาจบ่งชี้ถึงคุณภาพการรักษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน นอกจากนี้ คลินิกบางแห่งยังมีทางเลือกในการผ่อนชำระค่ารักษาอีกด้วย (Dr. Davin Lim Dermatology Blog, 2025)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระลึก
กระลึกเกิดจากอะไร
กระลึกเกิดจากการทำงานของเซลล์เม็ดสีที่หลงเหลืออยู่ในชั้นหนังแท้ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งมีปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐาน เซลล์เหล่านี้จะถูกกระตุ้นให้ทำงานเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จากปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแสงแดด (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
รักษากระลึกด้วยครีมได้ไหม
การรักษากระลึก (Hori’s Nevus) ด้วยครีมเพียงอย่างเดียวไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเม็ดสีของกระลึกอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ ซึ่งครีมส่วนใหญ่ไม่สามารถซึมลงไปถึงได้ ครีมทาฝ้า เช่น ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) และเรตินอยด์ (Retinoids) จะออกฤทธิ์ที่ผิวชั้นบนเป็นหลัก จึงไม่สามารถกำจัดเม็ดสีของกระลึกได้ อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจใช้ครีมเหล่านี้เป็นตัวช่วยเสริมในการรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อเตรียมผิวหรือรักษาฝ้าชนิดตื้นที่เกิดขึ้นร่วมด้วย การรักษาหลักสำหรับกระลึกคือการใช้เลเซอร์ เช่น Q-switched หรือ Picosecond laser ซึ่งสามารถทำลายเม็ดสีในชั้นหนังแท้ได้โดยตรง (Nevus of Hori in African patients: an entity that is most likely underdiagnosed in clinical practice, International Journal of Women’s Dermatology, 2025)
เลเซอร์กระลึกกี่ครั้งถึงจะหาย
การเลเซอร์กระลึกโดยทั่วไปต้องทำเฉลี่ย 5–7 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยแต่ละครั้งจะเว้นระยะห่างกันประมาณ 4–8 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายกำจัดเม็ดสีที่ถูกทำลายออกไป เลเซอร์ที่นิยมใช้คือกลุ่ม Q-switched Nd:YAG แต่เลเซอร์รุ่นใหม่อย่าง Picosecond laser อาจใช้จำนวนครั้งน้อยกว่า คือประมาณ 3-4 ครั้ง ทั้งนี้ จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับความลึกและความหนาแน่นของเม็ดสีในแต่ละบุคคล (Q-switched nd:yag laser therapy of acquired bilateral nevus of ota-like macules, Annals of Dermatology, 2009)
กระลึกหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม
โดยทั่วไปแล้วกระลึกมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำค่อนข้างน้อย หากได้รับการรักษาจนหมดและดูแลผิวอย่างเหมาะสม เนื่องจากเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติในชั้นหนังแท้ได้ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งแตกต่างจากฝ้าที่มักจะกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การกลับมาปรากฏของรอยโรคอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- การรักษาที่ไม่สมบูรณ์: หากยังมีเซลล์เม็ดสีหลงเหลืออยู่ รอยโรคอาจกลับมาเข้มขึ้นได้
- การเกิดรอยโรคใหม่: อาจมีรอยโรคใหม่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นบนใบหน้าที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของภาวะนี้
- ปัจจัยกระตุ้นภายนอก: การโดนแสงแดดโดยไม่มีการป้องกันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รอยโรคกลับมาเข้มขึ้นหรือเกิดรอยโรคใหม่ได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นได้เช่นกัน (Review on acquired bilateral nevus of ota-like macules, Hong Kong Dermatology & Venereology Bulletin, 2001)
รักษากระลึกที่ไหนดี
ควรเลือกรักษากับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเฉพาะ ซึ่งมีประสบการณ์ในการรักษาปัญหาเม็ดสีและใช้เลเซอร์ที่ได้มาตรฐาน
คุณสามารถใช้เกณฑ์ต่อไปนี้ในการพิจารณาเลือกสถานพยาบาล
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์ แพทย์ควรมีประสบการณ์ในการรักษาฝ้า กระลึก (Hori’s Nevus) และคุ้นเคยกับสภาพผิวของคนเอเชียโดยเฉพาะ
- เทคโนโลยีที่ใช้ คลินิกควรมีเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสมกับการรักษาเม็ดสีในชั้นหนังแท้ เช่น Q-switched laser หรือ Picosecond laser ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
- การให้คำปรึกษาที่ชัดเจน แพทย์จะประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด อธิบายแผนการรักษา จำนวนครั้งที่คาดว่าจะต้องทำ และแจ้งถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH)
- ความน่าเชื่อถือ คลินิกที่น่าเชื่อถือมักมีภาพถ่ายเปรียบเทียบก่อนและหลังการรักษาของผู้ป่วยรายอื่นเพื่อประกอบการตัดสินใจ และไม่การันตีผลการรักษาที่เกินจริง เช่น หาย 100% ภายในครั้งเดียว
