ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า เกิดจากอะไร? ควรใช้ต่อหรือพอแค่นี้?

5 สาเหตุหลักที่ทำให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า
ผิวอ่อนแอหรือเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ถูกทำลาย
การที่เกราะป้องกันผิวถูกทำลายจะทำให้น้ำในผิวระเหยออกและสารระคายเคืองจากภายนอกซึมผ่านเข้าไปได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ผิวไวต่อการระคายเคืองและรู้สึกแสบได้ง่ายเมื่อทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าผิวลักษณะนี้จะมีเส้นประสาทที่ไวต่อการกระตุ้นอยู่ตื้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแสบร้อนได้ง่ายขึ้น
ส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
น้ำหอม สารกันเสีย แอลกอฮอล์บางชนิด และลาโนลิน คือส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ได้บ่อยที่สุด
ส่วนผสมเหล่านี้อาจส่งผลต่อผิวได้ดังนี้:
- น้ำหอม (Fragrance): เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของอาการแพ้สัมผัสจากเครื่องสำอาง
- สารกันเสีย (Preservatives): เช่น พาราเบน หรือฟอร์มาลดีไฮด์รีลีสเซอร์ เป็นสาเหตุอันดับสองที่กระตุ้นให้ผิวอักเสบ
- แอลกอฮอล์ชนิดระเหย (Volatile Alcohols): เช่น เอทานอล สามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวแห้ง
- ลาโนลิน (Lanolin): เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ซึ่งอาจทำให้เกิดผื่นแดงคันบริเวณที่ทา
ภาวะผิวแห้งขาดน้ำอย่างรุนแรง
ภาวะผิวแห้งขาดน้ำอย่างรุนแรงคือสภาพผิวที่แห้งลอกหรือขาดความชุ่มชื้นมาก ซึ่งมักบ่งชี้ว่าเกราะป้องกันผิวมีความผิดปกติ ผิวที่แห้งตึง ลอกเป็นขุย หรือมีรอยแตกเล็กๆ จะไวต่อสารภายนอกมากขึ้น ทำให้เมื่อทาผลิตภัณฑ์ใดๆ จึงรู้สึกระคายเคือง เช่น แดง คัน หรือแสบได้ง่าย
การใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือยารักษาสิว
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือยารักษาสิวอาจทำให้แสบหน้าได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น ส่งผลให้ผิวเปราะบางลง เมื่อทามอยเจอร์ไรเซอร์ตามลงไปบนผิวที่ถูกทำให้ไวต่อการระคายเคือง จึงเกิดความรู้สึกแสบร้อนชั่วคราวได้ง่าย
ผลิตภัณฑ์ที่มักเป็นสาเหตุ ได้แก่
- สารผลัดเซลล์ผิว: เช่น กรด AHA/BHA และเรตินอล
- ยาทาสิว: เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และอะดาพาลีน (Adapalene)
อาการแพ้ส่วนผสมบางชนิดโดยเฉพาะ
อาการแพ้ส่วนผสมบางชนิดโดยเฉพาะคือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารประกอบบางอย่างในมอยเจอร์ไรเซอร์ และทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบขึ้น
อาการที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าการระคายเคืองทั่วไป เช่น มีผื่นแดง คัน บวม หรือตุ่มน้ำใส และรู้สึกแสบร้อนต่อเนื่อง ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่หายไปทันทีแม้จะหยุดใช้ผลิตภัณฑ์แล้วก็ตาม สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ ลาโนลิน (lanolin), สารกันเสียบางชนิด หรือสารสกัดจากธรรมชาติบางประเภท
อาการแบบไหนคือแค่ “ระคายเคือง” และแบบไหนคือ “แพ้” จริง?
การระคายเคืองเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีและหายเร็วเมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ ส่วนการแพ้เป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่รุนแรงและคงอยู่นานกว่า
- สัญญาณของการระคายเคือง:
- เกิดขึ้นทันทีหลังทาผลิตภัณฑ์
- รู้สึกแสบยิบๆ หรือร้อนเล็กน้อยเพียงชั่วคราวแล้วหายไป
- ผิวอาจแดงเล็กน้อย แต่จะกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็วเมื่อล้างออก
- สัญญาณของการแพ้:
- มีอาการอักเสบต่อเนื่องและรุนแรงกว่า
- เกิดผื่นแดงคงที่, คันมาก, บวม หรือมีตุ่มน้ำ
- อาการอาจปรากฏหลังใช้หลายชั่วโมงและคงอยู่เป็นวันๆ แม้จะหยุดใช้ผลิตภัณฑ์แล้ว
สัญญาณของการระคายเคือง: แสบชั่วครู่แล้วหายไป
ใช่ อาการแสบยิบๆ หรือร้อนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วหายไปคือสัญญาณของการระคายเคือง ซึ่งมักเกิดขึ้นทันทีหลังทาผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไป การระคายเคืองจะไม่ทำให้เกิดผื่นลุกลามหรืออาการคันยาวนาน และผิวอาจแดงเล็กน้อยชั่วครู่ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติ
สัญญาณของการแพ้: มีผื่นแดง คัน บวม หรือแสบนาน
ใช่ สัญญาณของการแพ้จริงคือการเกิดผื่นแดง คัน บวม หรือรู้สึกแสบร้อนเป็นเวลานาน อาการเหล่านี้มักรุนแรงและต่อเนื่อง ไม่หายไปทันทีหลังล้างผลิตภัณฑ์ออก และอาจคงอยู่นานหลายวัน
วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า
วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้าคือ ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า และประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการ
นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อดูแลผิวที่ระคายเคือง
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที: ควรหยุดใช้ครีมที่ต้องสงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง
- ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า: รีบล้างผลิตภัณฑ์ออกด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้องเพื่อกำจัดสารระคายเคือง
- ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่แสบประมาณ 15-30 นาที เพื่อช่วยลดอาการแสบร้อนและรอยแดง
- งดใช้สกินแคร์ที่มีฤทธิ์แรง: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น กรด AHA, เรตินอยด์ และสครับชั่วคราว เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟู
หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยทันที
ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หยุดใช้อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์เพื่อสังเกตว่าผิวดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากการฝืนใช้อาจทำให้การระคายเคืองกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังได้
ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ
การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติเป็นการกำจัดสารระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ออกจากผิวทันที เพื่อลดโอกาสที่ผิวจะดูดซึมสารนั้นต่อเนื่องจนอาการแย่ลง ควรหลีกเลี่ยงน้ำร้อนเพราะจะยิ่งเพิ่มการระคายเคือง และหลังล้างควรซับผิวเบาๆ ให้แห้ง
ประคบเย็นเพื่อลดอาการแสบร้อน
ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นหรือห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่แสบแดง ประมาณ 15–30 นาที โดยทำได้หลายครั้งต่อวันตามความจำเป็น การประคบเย็นจะช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการแสบคัน และลดรอยบวมแดง เนื่องจากความเย็นช่วยให้หลอดเลือดหดตัวและลดการอักเสบใต้ผิว
งดใช้สกินแคร์กลุ่มออกฤทธิ์และสครับชั่วคราว
การงดใช้สกินแคร์กลุ่มออกฤทธิ์และสครับชั่วคราวคือ การหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์แรงหรือช่วยผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้ผิวที่ระคายเคืองมีเวลาฟื้นฟูเกราะป้องกันตัวเอง
เมื่อผิวมีอาการระคายเคือง ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ชั่วคราวจนกว่าผิวจะกลับมาแข็งแรง:
- กรดผลไม้ (AHAs)
- เรตินอยด์ (Retinoids)
- วิตามินซีความเข้มข้นสูง
- สครับขัดผิว
- ยาทาสิว เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์
หากผิวระคายเคืองมาก แม้แต่คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจทำให้แสบได้ ในกรณีนี้ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น
เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้ปลอดภัยและไม่เสี่ยงแพ้
ควรเลือกโดยการตรวจสอบส่วนผสม เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย มองหาสารเสริมเกราะป้องกันผิว และทำการทดสอบการแพ้ (Patch Test) ก่อนใช้จริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการระคายเคือง
คุณสามารถเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ปลอดภัยได้โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้:
- ตรวจสอบส่วนผสม: หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มักก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม (fragrance) และแอลกอฮอล์ชนิดระเหย (denatured alcohol)
- เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย: มองหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “สำหรับผิวบอบบาง/แพ้ง่าย” (for sensitive skin) หรือ “Hypoallergenic” ซึ่งมักจะไม่มีสารก่อภูมิแพ้
- มองหาส่วนผสมเสริมเกราะป้องกันผิว: เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides), กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
- ทำการทดสอบการแพ้ (Patch Test): ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์กับใบหน้า ให้ทาปริมาณเล็กน้อยบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน แล้วสังเกตอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีผื่นแดงหรืออาการคันจึงค่อยนำมาใช้
ตรวจสอบรายการส่วนผสม: หลีกเลี่ยงน้ำหอมและแอลกอฮอล์
ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมและแอลกอฮอล์ในมอยเจอร์ไรเซอร์ เนื่องจากน้ำหอมเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการแพ้ ในขณะที่แอลกอฮอล์ชนิดระเหยง่ายสามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวแห้งได้
- น้ำหอม (Fragrance): เป็นสารก่อการแพ้ทางผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดในผลิตภัณฑ์สกินแคร์
- แอลกอฮอล์ชนิดระเหย (Volatile Alcohol): เช่น แอลกอฮอล์ล้างแผล (denatured alcohol) สามารถทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติและทำลายเกราะป้องกันผิว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองในระยะยาว
เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุบนฉลากว่า “สำหรับผิวบอบบาง/แพ้ง่าย” หรือ “Hypoallergenic” เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักถูกออกแบบมาเพื่อลดสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ให้น้อยที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้มองหาผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง ซึ่งมักจะปลอดสีสังเคราะห์ น้ำหอม และสารกันเสียที่รุนแรง ทำให้มีโอกาสแพ้หรือระคายเคืองน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป
มองหาส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
ส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวคือเซราไมด์, กรดไขมัน, สารดึงความชื้น, และไนอะซินาไมด์ ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและปกป้องชั้นผิว
- เซราไมด์ (Ceramides) และกรดไขมัน (Fatty Acids): เป็นไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยอุดช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี
- สารดึงความชื้น (Humectants): เช่น กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ทำหน้าที่ดึงน้ำเข้าสู่ผิวเพื่อเติมความชุ่มชื้น
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): หรือวิตามินบี 3 ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติ ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น
ทำ Patch Test ก่อนใช้กับใบหน้าเสมอ
การทำ Patch Test ที่ถูกต้องคือ การทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณผิวที่บอบบาง เช่น หลังใบหูหรือท้องแขน และสังเกตอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง
- ทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขนด้านใน
- ปล่อยทิ้งไว้และสังเกตอาการอย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง
- หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นแดง คัน บวม หรือแสบ แสดงว่าผลิตภัณฑ์ค่อนข้างปลอดภัยที่จะใช้กับใบหน้า
- หากเกิดความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ให้ล้างออกและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที
ข้อควรระวังและสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อมีอาการแสบผิว
อย่าฝืนใช้ต่อโดยคิดว่าผิวจะปรับตัวได้เอง
การฝืนใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้แสบผิวต่อโดยคิดว่าผิวจะปรับตัวได้เอง อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาว เช่น ผิวแห้งลอกเรื้อรัง แสบแดงง่าย และกลายเป็นผิวแพ้ง่ายกว่าเดิม ความเชื่อที่ว่า ‘ยิ่งแสบยิ่งได้ผล’ นั้นไม่ถูกต้อง และอาการแสบคือสัญญาณว่าผิวหนังกำลังถูกทำร้าย ไม่ใช่การปรับตัว
อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัวพร้อมกันเพื่อหาสาเหตุ
ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัวพร้อมกัน เพราะจะทำให้ระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ยากว่าอาการระคายเคืองเกิดจากผลิตภัณฑ์ตัวใด
แนวทางที่ถูกต้องคือการทดสอบทีละผลิตภัณฑ์ โดยสังเกตปฏิกิริยาของผิวอย่างน้อย 2–3 วันก่อนเพิ่มตัวต่อไป หากเกิดการระคายเคืองขึ้นแล้ว ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดก่อนจนกว่าอาการจะหาย จากนั้นจึงค่อยๆ กลับมาใช้ทีละตัวเพื่อหาสาเหตุ
อย่าขัดหรือถูใบหน้าแรงๆ เมื่อรู้สึกระคายเคือง
ไม่ควรขัดหรือถูใบหน้าแรงๆ เมื่อรู้สึกระคายเคือง เพราะจะยิ่งทำลายชั้นผิวและก่อให้เกิดรอยแตกเล็กๆ (microscopic tears) เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบหนักกว่าเดิม หากผิวลอกเป็นขุย ควรใช้ผ้านุ่มชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ แทน และหลีกเลี่ยงการใช้สครับทุกชนิดจนกว่าผิวจะกลับสู่สภาพปกติ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า
ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้าเล็กน้อย ถือว่าปกติไหม?
อาการแสบยิบๆ เล็กน้อยและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวสามารถถือเป็นเรื่องปกติได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น กรดผลัดเซลล์ผิวหรือเรตินอยด์ ซึ่งอาการควรเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแล้วหายไปเอง
อาการแสบหน้าจากการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะหายไปเองได้หรือไม่?
อาการแสบหน้าจากการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สามารถหายได้เอง หากเป็นเพียงการระคายเคืองที่ไม่รุนแรงและหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสาเหตุ โดยทั่วไป ผิวที่ระคายเคืองจะเริ่มกลับสู่ปกติภายในไม่กี่วันถึงประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น
ส่วนผสมอะไรในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักทำให้เกิดอาการแสบหน้า?
ส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักทำให้เกิดอาการแสบหน้าคือ น้ำหอมและสารกันเสีย
นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน ได้แก่
- แอลกอฮอล์ชนิดระเหย: เช่น เอทานอล (ethanol) ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งและทำลายเกราะป้องกันผิว
- สารผลัดเซลล์ผิว: เช่น กรด AHA/BHA หรือเรตินอล ที่อาจทำให้ผิวระคายเคืองเมื่อใช้ร่วมกัน
- ลาโนลิน (Lanolin): เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยในครีมบางชนิด
จะทดสอบการแพ้มอยเจอร์ไรเซอร์ด้วยตัวเองเบื้องต้นได้อย่างไร?
คุณสามารถทดสอบการแพ้มอยเจอร์ไรเซอร์เบื้องต้นได้โดยทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน และสังเกตอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นแดง คัน บวม หรือแสบ แสดงว่าผลิตภัณฑ์ค่อนข้างปลอดภัยที่จะใช้กับใบหน้า แต่หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรล้างออกและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที
ควรหยุดใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหรือไม่ถ้ามีอาการแสบ?
ใช่ ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอาการแสบทันที โดยเฉพาะหากเป็นอาการแสบที่ผิดปกติหรือต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงหรือนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม อาการแสบยิบๆ เพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นชั่วครู่ (ไม่กี่วินาที) แล้วหายไป อาจเป็นเรื่องปกติเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอล หรือกรดผลัดเซลล์ผิว
เมื่อไหร่ที่อาการแสบหน้าจากการใช้สกินแคร์ควรไปพบแพทย์?
ควรไปพบแพทย์หากหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงอื่นๆ เกิดขึ้น
อาการรุนแรงที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่
- ผื่นแดงบวมมาก
- ผิวลอกเป็นแผ่นใหญ่
- คันมากจนรบกวนการนอน
- มีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดเกิดขึ้น
References:
- Gillette, B., & Calaor, J.M. What Is Skin Barrier and How to Protect It, According to Dermatologists. Cosmopolitan. cosmopolitan.com
- Kao Corporation. A Cause of Hypersensitivity in Sensitive Skin is Revealed: Improving Epidermal Tight Junctions Decreases Discomfort. Kao Research & Development News Release. kao.com
- Cleveland Clinic. Study Finds Most ‘Natural’ Skin Care Products Contain Allergens. Cleveland Clinic Newsroom. clevelandclinic.org
- DermNet New Zealand. Contact Reactions to Cosmetics (Cosmetics Allergy). DermNet. dermnetnz.org
- Palmer, A. 6 Ways to Treat Dry Skin Caused by Benzoyl Peroxide. Verywell Health. verywellhealth.com
- Mayo Clinic Staff. Contact Dermatitis – Diagnosis & Treatment. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- CeraVe. Dry Skin Tips: Is My Skin Dry or Dehydrated? CeraVe (L’Oréal). cerave.com
- Holender, S. 10 Skincare Ingredients to Avoid If You Have Sensitive Skin. Marie Claire. marieclaire.com
