Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า เกิดจากอะไร? ควรใช้ต่อหรือพอแค่นี้?

Byadmin ตุลาคม 31, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 31, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า เกิดจากอะไร? ควรใช้ต่อหรือพอแค่นี้?

Table of Contents

Toggle
  • 5 สาเหตุหลักที่ทำให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า
    • ผิวอ่อนแอหรือเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ถูกทำลาย
    • ส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
    • ภาวะผิวแห้งขาดน้ำอย่างรุนแรง
    • การใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือยารักษาสิว
    • อาการแพ้ส่วนผสมบางชนิดโดยเฉพาะ
  • อาการแบบไหนคือแค่ “ระคายเคือง” และแบบไหนคือ “แพ้” จริง?
    • สัญญาณของการระคายเคือง: แสบชั่วครู่แล้วหายไป
    • สัญญาณของการแพ้: มีผื่นแดง คัน บวม หรือแสบนาน
  • วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า
    • หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยทันที
    • ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ
    • ประคบเย็นเพื่อลดอาการแสบร้อน
    • งดใช้สกินแคร์กลุ่มออกฤทธิ์และสครับชั่วคราว
  • เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้ปลอดภัยและไม่เสี่ยงแพ้
    • ตรวจสอบรายการส่วนผสม: หลีกเลี่ยงน้ำหอมและแอลกอฮอล์
    • เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ
    • มองหาส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
    • ทำ Patch Test ก่อนใช้กับใบหน้าเสมอ
  • ข้อควรระวังและสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อมีอาการแสบผิว
    • อย่าฝืนใช้ต่อโดยคิดว่าผิวจะปรับตัวได้เอง
    • อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัวพร้อมกันเพื่อหาสาเหตุ
    • อย่าขัดหรือถูใบหน้าแรงๆ เมื่อรู้สึกระคายเคือง
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า
    • ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้าเล็กน้อย ถือว่าปกติไหม?
    • อาการแสบหน้าจากการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะหายไปเองได้หรือไม่?
    • ส่วนผสมอะไรในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักทำให้เกิดอาการแสบหน้า?
    • จะทดสอบการแพ้มอยเจอร์ไรเซอร์ด้วยตัวเองเบื้องต้นได้อย่างไร?
    • ควรหยุดใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหรือไม่ถ้ามีอาการแสบ?
    • เมื่อไหร่ที่อาการแสบหน้าจากการใช้สกินแคร์ควรไปพบแพทย์?
  • References:

5 สาเหตุหลักที่ทำให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า

ผิวอ่อนแอหรือเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ถูกทำลาย

การที่เกราะป้องกันผิวถูกทำลายจะทำให้น้ำในผิวระเหยออกและสารระคายเคืองจากภายนอกซึมผ่านเข้าไปได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ผิวไวต่อการระคายเคืองและรู้สึกแสบได้ง่ายเมื่อทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าผิวลักษณะนี้จะมีเส้นประสาทที่ไวต่อการกระตุ้นอยู่ตื้นกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแสบร้อนได้ง่ายขึ้น

ส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

น้ำหอม สารกันเสีย แอลกอฮอล์บางชนิด และลาโนลิน คือส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ได้บ่อยที่สุด

ส่วนผสมเหล่านี้อาจส่งผลต่อผิวได้ดังนี้:

  • น้ำหอม (Fragrance): เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของอาการแพ้สัมผัสจากเครื่องสำอาง
  • สารกันเสีย (Preservatives): เช่น พาราเบน หรือฟอร์มาลดีไฮด์รีลีสเซอร์ เป็นสาเหตุอันดับสองที่กระตุ้นให้ผิวอักเสบ
  • แอลกอฮอล์ชนิดระเหย (Volatile Alcohols): เช่น เอทานอล สามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวแห้ง
  • ลาโนลิน (Lanolin): เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ซึ่งอาจทำให้เกิดผื่นแดงคันบริเวณที่ทา

ภาวะผิวแห้งขาดน้ำอย่างรุนแรง

ภาวะผิวแห้งขาดน้ำอย่างรุนแรงคือสภาพผิวที่แห้งลอกหรือขาดความชุ่มชื้นมาก ซึ่งมักบ่งชี้ว่าเกราะป้องกันผิวมีความผิดปกติ ผิวที่แห้งตึง ลอกเป็นขุย หรือมีรอยแตกเล็กๆ จะไวต่อสารภายนอกมากขึ้น ทำให้เมื่อทาผลิตภัณฑ์ใดๆ จึงรู้สึกระคายเคือง เช่น แดง คัน หรือแสบได้ง่าย

การใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือยารักษาสิว

การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือยารักษาสิวอาจทำให้แสบหน้าได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น ส่งผลให้ผิวเปราะบางลง เมื่อทามอยเจอร์ไรเซอร์ตามลงไปบนผิวที่ถูกทำให้ไวต่อการระคายเคือง จึงเกิดความรู้สึกแสบร้อนชั่วคราวได้ง่าย

ผลิตภัณฑ์ที่มักเป็นสาเหตุ ได้แก่

  • สารผลัดเซลล์ผิว: เช่น กรด AHA/BHA และเรตินอล
  • ยาทาสิว: เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และอะดาพาลีน (Adapalene)

อาการแพ้ส่วนผสมบางชนิดโดยเฉพาะ

อาการแพ้ส่วนผสมบางชนิดโดยเฉพาะคือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารประกอบบางอย่างในมอยเจอร์ไรเซอร์ และทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบขึ้น

อาการที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าการระคายเคืองทั่วไป เช่น มีผื่นแดง คัน บวม หรือตุ่มน้ำใส และรู้สึกแสบร้อนต่อเนื่อง ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่หายไปทันทีแม้จะหยุดใช้ผลิตภัณฑ์แล้วก็ตาม สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ ลาโนลิน (lanolin), สารกันเสียบางชนิด หรือสารสกัดจากธรรมชาติบางประเภท

อาการแบบไหนคือแค่ “ระคายเคือง” และแบบไหนคือ “แพ้” จริง?

การระคายเคืองเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีและหายเร็วเมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ ส่วนการแพ้เป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่รุนแรงและคงอยู่นานกว่า

  • สัญญาณของการระคายเคือง:
  • เกิดขึ้นทันทีหลังทาผลิตภัณฑ์
  • รู้สึกแสบยิบๆ หรือร้อนเล็กน้อยเพียงชั่วคราวแล้วหายไป
  • ผิวอาจแดงเล็กน้อย แต่จะกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็วเมื่อล้างออก
  • สัญญาณของการแพ้:
  • มีอาการอักเสบต่อเนื่องและรุนแรงกว่า
  • เกิดผื่นแดงคงที่, คันมาก, บวม หรือมีตุ่มน้ำ
  • อาการอาจปรากฏหลังใช้หลายชั่วโมงและคงอยู่เป็นวันๆ แม้จะหยุดใช้ผลิตภัณฑ์แล้ว

สัญญาณของการระคายเคือง: แสบชั่วครู่แล้วหายไป

ใช่ อาการแสบยิบๆ หรือร้อนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วหายไปคือสัญญาณของการระคายเคือง ซึ่งมักเกิดขึ้นทันทีหลังทาผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไป การระคายเคืองจะไม่ทำให้เกิดผื่นลุกลามหรืออาการคันยาวนาน และผิวอาจแดงเล็กน้อยชั่วครู่ก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติ

สัญญาณของการแพ้: มีผื่นแดง คัน บวม หรือแสบนาน

ใช่ สัญญาณของการแพ้จริงคือการเกิดผื่นแดง คัน บวม หรือรู้สึกแสบร้อนเป็นเวลานาน อาการเหล่านี้มักรุนแรงและต่อเนื่อง ไม่หายไปทันทีหลังล้างผลิตภัณฑ์ออก และอาจคงอยู่นานหลายวัน

วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า

วิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้าคือ ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า และประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการ

นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อดูแลผิวที่ระคายเคือง

  • หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที: ควรหยุดใช้ครีมที่ต้องสงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง
  • ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า: รีบล้างผลิตภัณฑ์ออกด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้องเพื่อกำจัดสารระคายเคือง
  • ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่แสบประมาณ 15-30 นาที เพื่อช่วยลดอาการแสบร้อนและรอยแดง
  • งดใช้สกินแคร์ที่มีฤทธิ์แรง: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น กรด AHA, เรตินอยด์ และสครับชั่วคราว เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟู

หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยทันที

ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หยุดใช้อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์เพื่อสังเกตว่าผิวดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากการฝืนใช้อาจทำให้การระคายเคืองกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังได้

ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ

การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติเป็นการกำจัดสารระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ออกจากผิวทันที เพื่อลดโอกาสที่ผิวจะดูดซึมสารนั้นต่อเนื่องจนอาการแย่ลง ควรหลีกเลี่ยงน้ำร้อนเพราะจะยิ่งเพิ่มการระคายเคือง และหลังล้างควรซับผิวเบาๆ ให้แห้ง

ประคบเย็นเพื่อลดอาการแสบร้อน

ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นหรือห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่แสบแดง ประมาณ 15–30 นาที โดยทำได้หลายครั้งต่อวันตามความจำเป็น การประคบเย็นจะช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการแสบคัน และลดรอยบวมแดง เนื่องจากความเย็นช่วยให้หลอดเลือดหดตัวและลดการอักเสบใต้ผิว

งดใช้สกินแคร์กลุ่มออกฤทธิ์และสครับชั่วคราว

การงดใช้สกินแคร์กลุ่มออกฤทธิ์และสครับชั่วคราวคือ การหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์แรงหรือช่วยผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้ผิวที่ระคายเคืองมีเวลาฟื้นฟูเกราะป้องกันตัวเอง

เมื่อผิวมีอาการระคายเคือง ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ชั่วคราวจนกว่าผิวจะกลับมาแข็งแรง:

  • กรดผลไม้ (AHAs)
  • เรตินอยด์ (Retinoids)
  • วิตามินซีความเข้มข้นสูง
  • สครับขัดผิว
  • ยาทาสิว เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์

หากผิวระคายเคืองมาก แม้แต่คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจทำให้แสบได้ ในกรณีนี้ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้ปลอดภัยและไม่เสี่ยงแพ้

ควรเลือกโดยการตรวจสอบส่วนผสม เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย มองหาสารเสริมเกราะป้องกันผิว และทำการทดสอบการแพ้ (Patch Test) ก่อนใช้จริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการระคายเคือง

คุณสามารถเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ปลอดภัยได้โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้:

  • ตรวจสอบส่วนผสม: หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มักก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม (fragrance) และแอลกอฮอล์ชนิดระเหย (denatured alcohol)
  • เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย: มองหาผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “สำหรับผิวบอบบาง/แพ้ง่าย” (for sensitive skin) หรือ “Hypoallergenic” ซึ่งมักจะไม่มีสารก่อภูมิแพ้
  • มองหาส่วนผสมเสริมเกราะป้องกันผิว: เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides), กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
  • ทำการทดสอบการแพ้ (Patch Test): ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์กับใบหน้า ให้ทาปริมาณเล็กน้อยบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน แล้วสังเกตอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีผื่นแดงหรืออาการคันจึงค่อยนำมาใช้

ตรวจสอบรายการส่วนผสม: หลีกเลี่ยงน้ำหอมและแอลกอฮอล์

ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมและแอลกอฮอล์ในมอยเจอร์ไรเซอร์ เนื่องจากน้ำหอมเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการแพ้ ในขณะที่แอลกอฮอล์ชนิดระเหยง่ายสามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวแห้งได้

  • น้ำหอม (Fragrance): เป็นสารก่อการแพ้ทางผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดในผลิตภัณฑ์สกินแคร์
  • แอลกอฮอล์ชนิดระเหย (Volatile Alcohol): เช่น แอลกอฮอล์ล้างแผล (denatured alcohol) สามารถทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติและทำลายเกราะป้องกันผิว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองในระยะยาว

เลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุบนฉลากว่า “สำหรับผิวบอบบาง/แพ้ง่าย” หรือ “Hypoallergenic” เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักถูกออกแบบมาเพื่อลดสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ให้น้อยที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้มองหาผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง ซึ่งมักจะปลอดสีสังเคราะห์ น้ำหอม และสารกันเสียที่รุนแรง ทำให้มีโอกาสแพ้หรือระคายเคืองน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป

มองหาส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว

ส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวคือเซราไมด์, กรดไขมัน, สารดึงความชื้น, และไนอะซินาไมด์ ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและปกป้องชั้นผิว

  • เซราไมด์ (Ceramides) และกรดไขมัน (Fatty Acids): เป็นไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยอุดช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี
  • สารดึงความชื้น (Humectants): เช่น กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ทำหน้าที่ดึงน้ำเข้าสู่ผิวเพื่อเติมความชุ่มชื้น
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): หรือวิตามินบี 3 ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติ ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น

ทำ Patch Test ก่อนใช้กับใบหน้าเสมอ

การทำ Patch Test ที่ถูกต้องคือ การทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณผิวที่บอบบาง เช่น หลังใบหูหรือท้องแขน และสังเกตอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง

  1. ทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขนด้านใน
  2. ปล่อยทิ้งไว้และสังเกตอาการอย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง
  3. หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นแดง คัน บวม หรือแสบ แสดงว่าผลิตภัณฑ์ค่อนข้างปลอดภัยที่จะใช้กับใบหน้า
  4. หากเกิดความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ให้ล้างออกและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที

ข้อควรระวังและสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อมีอาการแสบผิว

อย่าฝืนใช้ต่อโดยคิดว่าผิวจะปรับตัวได้เอง

การฝืนใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้แสบผิวต่อโดยคิดว่าผิวจะปรับตัวได้เอง อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาว เช่น ผิวแห้งลอกเรื้อรัง แสบแดงง่าย และกลายเป็นผิวแพ้ง่ายกว่าเดิม ความเชื่อที่ว่า ‘ยิ่งแสบยิ่งได้ผล’ นั้นไม่ถูกต้อง และอาการแสบคือสัญญาณว่าผิวหนังกำลังถูกทำร้าย ไม่ใช่การปรับตัว

อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัวพร้อมกันเพื่อหาสาเหตุ

ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัวพร้อมกัน เพราะจะทำให้ระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ยากว่าอาการระคายเคืองเกิดจากผลิตภัณฑ์ตัวใด

แนวทางที่ถูกต้องคือการทดสอบทีละผลิตภัณฑ์ โดยสังเกตปฏิกิริยาของผิวอย่างน้อย 2–3 วันก่อนเพิ่มตัวต่อไป หากเกิดการระคายเคืองขึ้นแล้ว ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดก่อนจนกว่าอาการจะหาย จากนั้นจึงค่อยๆ กลับมาใช้ทีละตัวเพื่อหาสาเหตุ

อย่าขัดหรือถูใบหน้าแรงๆ เมื่อรู้สึกระคายเคือง

ไม่ควรขัดหรือถูใบหน้าแรงๆ เมื่อรู้สึกระคายเคือง เพราะจะยิ่งทำลายชั้นผิวและก่อให้เกิดรอยแตกเล็กๆ (microscopic tears) เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบหนักกว่าเดิม หากผิวลอกเป็นขุย ควรใช้ผ้านุ่มชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ แทน และหลีกเลี่ยงการใช้สครับทุกชนิดจนกว่าผิวจะกลับสู่สภาพปกติ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้า

ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วแสบหน้าเล็กน้อย ถือว่าปกติไหม?

อาการแสบยิบๆ เล็กน้อยและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวสามารถถือเป็นเรื่องปกติได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น กรดผลัดเซลล์ผิวหรือเรตินอยด์ ซึ่งอาการควรเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแล้วหายไปเอง

อาการแสบหน้าจากการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะหายไปเองได้หรือไม่?

อาการแสบหน้าจากการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สามารถหายได้เอง หากเป็นเพียงการระคายเคืองที่ไม่รุนแรงและหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสาเหตุ โดยทั่วไป ผิวที่ระคายเคืองจะเริ่มกลับสู่ปกติภายในไม่กี่วันถึงประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น

ส่วนผสมอะไรในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักทำให้เกิดอาการแสบหน้า?

ส่วนผสมในมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มักทำให้เกิดอาการแสบหน้าคือ น้ำหอมและสารกันเสีย

นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน ได้แก่

  • แอลกอฮอล์ชนิดระเหย: เช่น เอทานอล (ethanol) ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งและทำลายเกราะป้องกันผิว
  • สารผลัดเซลล์ผิว: เช่น กรด AHA/BHA หรือเรตินอล ที่อาจทำให้ผิวระคายเคืองเมื่อใช้ร่วมกัน
  • ลาโนลิน (Lanolin): เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยในครีมบางชนิด

จะทดสอบการแพ้มอยเจอร์ไรเซอร์ด้วยตัวเองเบื้องต้นได้อย่างไร?

คุณสามารถทดสอบการแพ้มอยเจอร์ไรเซอร์เบื้องต้นได้โดยทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยบริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน และสังเกตอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นแดง คัน บวม หรือแสบ แสดงว่าผลิตภัณฑ์ค่อนข้างปลอดภัยที่จะใช้กับใบหน้า แต่หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรล้างออกและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที

ควรหยุดใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหรือไม่ถ้ามีอาการแสบ?

ใช่ ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอาการแสบทันที โดยเฉพาะหากเป็นอาการแสบที่ผิดปกติหรือต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงหรือนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง

อย่างไรก็ตาม อาการแสบยิบๆ เพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นชั่วครู่ (ไม่กี่วินาที) แล้วหายไป อาจเป็นเรื่องปกติเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอล หรือกรดผลัดเซลล์ผิว

เมื่อไหร่ที่อาการแสบหน้าจากการใช้สกินแคร์ควรไปพบแพทย์?

ควรไปพบแพทย์หากหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงอื่นๆ เกิดขึ้น

อาการรุนแรงที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่

  • ผื่นแดงบวมมาก
  • ผิวลอกเป็นแผ่นใหญ่
  • คันมากจนรบกวนการนอน
  • มีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดเกิดขึ้น

References:

  1. Gillette, B., & Calaor, J.M. What Is Skin Barrier and How to Protect It, According to Dermatologists. Cosmopolitan. cosmopolitan.com
  2. Kao Corporation. A Cause of Hypersensitivity in Sensitive Skin is Revealed: Improving Epidermal Tight Junctions Decreases Discomfort. Kao Research & Development News Release. kao.com
  3. Cleveland Clinic. Study Finds Most ‘Natural’ Skin Care Products Contain Allergens. Cleveland Clinic Newsroom. clevelandclinic.org
  4. DermNet New Zealand. Contact Reactions to Cosmetics (Cosmetics Allergy). DermNet. dermnetnz.org
  5. Palmer, A. 6 Ways to Treat Dry Skin Caused by Benzoyl Peroxide. Verywell Health. verywellhealth.com
  6. Mayo Clinic Staff. Contact Dermatitis – Diagnosis & Treatment. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  7. CeraVe. Dry Skin Tips: Is My Skin Dry or Dehydrated? CeraVe (L’Oréal). cerave.com
  8. Holender, S. 10 Skincare Ingredients to Avoid If You Have Sensitive Skin. Marie Claire. marieclaire.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
เคล็ดลับหน้าใสที่คลินิกเสริมความงาม รวมทรีตเมนต์น่าทำและราคาล่าสุด
NextContinue
7 วิธีแก้ผิวไหม้แดดเร่งด่วน ลดอาการแสบแดง-ผิวลอก อัปเดต 2568

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube