Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) ห้ามใช้คู่กับอะไร? ข้อควรรู้เพื่อผิวสวย

Byadmin พฤศจิกายน 20, 2025พฤศจิกายน 20, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 20, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) ห้ามใช้คู่กับอะไร? ข้อควรรู้เพื่อผิวสวย

ไนอะซินาไมด์คือวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น ลดรอยสิวและควบคุมความมัน โดยผลวิจัยชี้ว่าความเข้มข้น 5% สามารถปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นได้ และยังสามารถใช้ร่วมกับวิตามินซีหรือเรตินอลเพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานได้อีกด้วย.

Table of Contents

Toggle
  • ไนอะซินาไมด์คืออะไร? รู้จักวิตามินบี 3 ในสกินแคร์
  • คุณสมบัติหลักของไนอะซินาไมด์: ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง
    • เสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ
    • ลดเลือนรอยสิวและจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
    • ควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน
    • ลดการอักเสบและรอยแดงของผิว
  • ข้อควรระวัง: ไนอะซินาไมด์ห้ามใช้คู่กับส่วนผสมใดบ้าง
    • วิตามินซีฟอร์ม L-Ascorbic Acid (L-AA)
    • กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ที่มีความเข้มข้นสูง
    • สัญญาณเตือนและวิธีรับมือเมื่อเกิดการระคายเคือง
  • วิธีใช้ไนอะซินาไมด์ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
    • ควรเริ่มต้นที่ความเข้มข้นเท่าไหร่: 5% vs 10%
    • ลำดับการใช้ในขั้นตอนดูแลผิวประจำวัน
    • ส่วนผสมที่แนะนำให้ใช้ร่วมกันเพื่อเสริมประสิทธิภาพ
  • การเลือกผลิตภัณฑ์ และเมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์
    • เกณฑ์การเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีไนอะซินาไมด์
    • รูปแบบผลิตภัณฑ์: เซรั่ม ครีม หรือโทนเนอร์
    • สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลด้วยตนเองไม่เพียงพอ
  • ผลข้างเคียงและความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
    • อาการแพ้ไนอะซินาไมด์ที่อาจพบได้
    • ความเชื่อผิดๆ: ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูงยิ่งดีจริงหรือ?
    • ไนอะซินาไมด์ทำให้สิวเห่อ (Purging) หรือไม่?
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไนอะซินาไมด์ (FAQ)
    • ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทุกวันหรือไม่?
    • คนท้องหรือให้นมบุตรใช้ไนอะซินาไมด์ได้ไหม?
    • ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?
    • สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอลได้หรือไม่?
    • ไนอะซินาไมด์ช่วยเรื่องสิวอุดตันได้จริงหรือ?
    • หากใช้แล้วรู้สึกยิบๆ ที่ผิว ควรทำอย่างไร?
  • References:

ไนอะซินาไมด์คืออะไร? รู้จักวิตามินบี 3 ในสกินแคร์

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) คือ วิตามินบี 3 ในรูปแบบที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวและมีความอ่อนโยนสูง เมื่อทาลงบนผิวจะทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของโคเอนไซม์ที่ช่วยซ่อมแซมและเติมพลังงานให้เซลล์ผิว

คุณสมบัติหลักของไนอะซินาไมด์ในสกินแคร์ ได้แก่:

  • เสริมเกราะป้องกันผิว: ช่วยเพิ่มการผลิตเซราไมด์ (Ceramides) ทำให้ผิวแข็งแรงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
  • ลดเลือนจุดด่างดำ: ยับยั้งการส่งต่อเม็ดสีเมลานินไปยังผิวชั้นบน ทำให้รอยดำรอยแดงและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจางลง
  • ควบคุมความมัน: ช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมัน (Sebum) ทำให้ผิวมันน้อยลงและรูขุมขนดูกระชับขึ้น
  • ลดการอักเสบ: มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยแดง เหมาะสำหรับผิวที่เป็นสิวและผิวแพ้ง่าย

คุณสมบัติหลักของไนอะซินาไมด์: ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง

เสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ

ไนอะซินาไมด์ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและลดการสูญเสียน้ำ (Transepidermal Water Loss – TEWL) โดยจะเข้าไปกระตุ้นการผลิตไขมันที่จำเป็นต่อผิว เช่น เซราไมด์ (ceramides) และกรดไขมันอิสระ (free fatty acids) ในชั้นผิวสตราตัม คอร์เนียม (stratum corneum) การเสริมสร้างเกราะไขมันนี้ทำให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงขึ้นและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวไม่แห้งง่ายและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ลดเลือนรอยสิวและจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

ไนอะซินาไมด์ช่วยลดเลือนรอยสิวและจุดด่างดำโดยการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีเมลานิน (melanosomes) จากเซลล์สร้างเม็ดสีไปยังเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุด

กลไกนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เม็ดสีปรากฏขึ้นบนผิว ทำให้รอยดำและรอยแดงจากสิว รวมถึงฝ้า กระ และจุดด่างดำต่างๆ จางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ได้ยับยั้งการผลิตเม็ดสีโดยตรง แต่จะขัดขวางการกระจายตัวของเม็ดสีที่ผลิตขึ้นมาแล้ว จากการศึกษาพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้น 5% เป็นประจำสามารถช่วยให้จุดด่างดำจางลงและสีผิวสม่ำเสมอขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 8-12 สัปดาห์

ควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน

ไนอะซินาไมด์ช่วยควบคุมความมันโดยลดการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ของต่อมไขมัน ซึ่งส่งผลให้รูขุมขนที่เคยกว้างจากน้ำมันส่วนเกินแลดูเล็กลง

ไนอะซินาไมด์จะเข้าไปปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณที่เหมาะสม เมื่อน้ำมันบนผิวน้อยลง รูขุมขนจึงไม่ถูกเบียดให้ขยายกว้าง ทำให้ขนาดของรูขุมขนดูเล็กลงและผิวดูเรียบเนียนขึ้น คุณสมบัตินี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวมันและเป็นสิวง่าย

ลดการอักเสบและรอยแดงของผิว

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีคุณสมบัติต้านการอักเสบในผิวหนัง โดยช่วยลดการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบ (pro-inflammatory cytokines) ที่เป็นสาเหตุของการระคายเคืองและรอยแดง ด้วยกลไกนี้ ไนอะซินาไมด์จึงช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยแดง และบรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคโรซาเชีย (rosacea) และสิวอักเสบ

นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยังช่วยลดการระคายเคืองและความไวต่อปัจจัยกระตุ้นภายนอกได้อีกทางหนึ่ง จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ 5% สามารถลดรอยแดงและผื่นแดงบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผิวดูสงบและมีสีผิวสม่ำเสมอขึ้น

ข้อควรระวัง: ไนอะซินาไมด์ห้ามใช้คู่กับส่วนผสมใดบ้าง

วิตามินซีฟอร์ม L-Ascorbic Acid (L-AA)

สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับวิตามินซีฟอร์ม L-Ascorbic Acid (L-AA) ได้อย่างปลอดภัย โดยความเชื่อเดิมที่ว่าส่วนผสมทั้งสองทำปฏิกิริยากันนั้นเกิดขึ้นน้อยมากในการใช้งานจริง เคล็ดลับสำคัญคือควรทาผลิตภัณฑ์วิตามินซี (L-AA) ก่อนบนผิวที่สะอาด รอให้ซึมสักครู่ แล้วจึงตามด้วยไนอะซินาไมด์ เพื่อให้ส่วนผสมทั้งสองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ที่มีความเข้มข้นสูง

ควรใช้ไนอะซินาไมด์ด้วยความระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกับกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ที่มีความเข้มข้นสูง และแนะนำให้แยกใช้กันคนละเวลาจะดีที่สุด เนื่องจากกรดเหล่านี้ทำงานได้ดีในค่า pH ที่ต่ำ (ประมาณ 3-4) ในขณะที่ไนอะซินาไมด์ทำงานได้ดีในค่า pH ที่เป็นกลาง (ประมาณ 6-7) การใช้ร่วมกันทันทีอาจทำให้ไนอะซินาไมด์เปลี่ยนเป็นกรดนิโคตินิกซึ่งก่อให้เกิดอาการแดงชั่วคราว และยังอาจลดประสิทธิภาพของกรดได้อีกด้วย

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ใช้คนละเวลา: วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ผลิตภัณฑ์ AHA/BHA ในเวลากลางคืน และใช้ไนอะซินาไมด์ในตอนเช้า
  • เว้นระยะห่าง: หากต้องการใช้ในเวลาเดียวกัน ควรทากรดก่อนบนผิวที่สะอาด รอประมาณ 20-30 นาทีเพื่อให้ค่า pH ของผิวปรับสู่สภาวะปกติ แล้วจึงทาไนอะซินาไมด์ตาม

สัญญาณเตือนและวิธีรับมือเมื่อเกิดการระคายเคือง

สัญญาณเตือนของการระคายเคืองจาก Niacinamide คืออาการแดง คัน แสบ หรือมีสิวขึ้นผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากการดันสิว (Purging) เนื่องจาก Niacinamide ไม่ได้มีคุณสมบัติในการเร่งการผลัดเซลล์ผิว

อาการที่บ่งชี้ว่าผิวของคุณอาจไม่ตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ ได้แก่:

  • อาการแดง คัน หรือแสบร้อนบนผิว
  • มีสิวผดหรือสิวอุดตันขึ้นในบริเวณที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน

หากเกิดการระคายเคือง ควรรับมือดังนี้:

  • ลดความถี่และความเข้มข้น: ลองลดความถี่ในการใช้ลงเหลือวันเว้นวัน หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำลง (เช่น จาก 10% เป็น 5%)
  • ทาหลังมอยส์เจอไรเซอร์: การทา Niacinamide หลังมอยส์เจอไรเซอร์สามารถช่วยลดการระคายเคืองได้
  • หยุดใช้ชั่วคราว: หากอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อปลอบประโลมผิว

วิธีใช้ไนอะซินาไมด์ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ควรใช้ไนอะซินาไมด์ที่ความเข้มข้น 2-5% เป็นประจำทุกวัน ทาบนผิวที่สะอาดก่อนลงมอยส์เจอไรเซอร์ และใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน ควรปฏิบัติตามหลักการต่อไปนี้:

  • เลือกความเข้มข้นที่เหมาะสม: ความเข้มข้น 2-5% ก็เพียงพอและมีประสิทธิภาพสูงแล้ว ความเข้มข้นที่สูงกว่านี้ (เช่น 10%) ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่าเสมอไปและอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
  • ใช้อย่างสม่ำเสมอ: สามารถใช้ได้ทุกวัน ทั้งเช้าและเย็น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ทาให้ถูกลำดับ: ควรทาผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบาที่สุดก่อน โดยลำดับที่แนะนำคือ คลีนเซอร์ → โทนเนอร์ (ถ้ามี) → เซรั่มไนอะซินาไมด์ → มอยส์เจอไรเซอร์ → ครีมกันแดด (ในตอนเช้า)
  • อดทนรอผลลัพธ์: โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น รอยดำจางลงหรือรูขุมขนกระชับขึ้น หลังจากใช้อย่างต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพ: ไนอะซินาไมด์ทำงานได้ดีกับส่วนผสมส่วนใหญ่ เช่น ใช้ร่วมกับไฮยาลูรอนิกแอซิดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือใช้ร่วมกับเรตินอลเพื่อช่วยลดการระคายเคืองและเสริมฤทธิ์กัน

ควรเริ่มต้นที่ความเข้มข้นเท่าไหร่: 5% vs 10%

ความเข้มข้นที่เหมาะสมในการเริ่มต้นใช้ไนอะซินาไมด์คือประมาณ 5% เนื่องจากเป็นระดับที่ผลการวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันว่ามีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงต่อการระคายเคืองต่ำ

ความเข้มข้นระดับนี้เพียงพอที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวในหลายๆ ด้าน เช่น การลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน แม้ว่าความเข้มข้น 10% จะเป็นที่นิยมในท้องตลาด แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางคลินิกว่าให้ผลลัพธ์ดีกว่า 5% อย่างมีนัยสำคัญ และอาจเพิ่มโอกาสในการระคายเคืองสำหรับบางคน ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงมักแนะนำให้เริ่มต้นที่ 5% และใช้ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสำคัญกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง

ลำดับการใช้ในขั้นตอนดูแลผิวประจำวัน

โดยทั่วไป ควรใช้ไนอะซินาไมด์หลังขั้นตอนทำความสะอาดและโทนเนอร์ แต่ก่อนการลงมอยส์เจอไรเซอร์ ครีม หรือน้ำมันที่มีเนื้อหนักกว่า หลักการคือให้เรียงลำดับผลิตภัณฑ์จากเนื้อบางเบาที่สุดไปยังเนื้อที่หนักที่สุด

ลำดับการใช้โดยทั่วไปมีดังนี้:

  1. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (Cleanser)
  • โทนเนอร์ (Toner) (ถ้ามี)
  • เซรั่มไนอะซินาไมด์ (Niacinamide Serum)
  • มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer)
  • ครีมกันแดด (Sunscreen) (สำหรับตอนเช้า)

หากใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น เช่น วิตามินซี ควรลงวิตามินซีก่อนแล้วจึงตามด้วยไนอะซินาไมด์

ส่วนผสมที่แนะนำให้ใช้ร่วมกันเพื่อเสริมประสิทธิภาพ

Niacinamide สามารถใช้ร่วมกับส่วนผสมหลายชนิดเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดูแลปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยส่วนผสมที่แนะนำให้ใช้ร่วมกันมีดังนี้

  • เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว:
  • ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid): ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว ในขณะที่ Niacinamide ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
  • เซราไมด์ (Ceramides): Niacinamide กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติ การใช้ร่วมกันจึงช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวที่ถูกทำลายได้ดียิ่งขึ้น
  • เพื่อควบคุมความมันและดูแลปัญหาสิว:
  • ซิงค์ (Zinc): ช่วยควบคุมความมันและต้านการอักเสบ เมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide จะช่วยลดความมันและสิวได้ดี
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน ส่วน Niacinamide จะช่วยปลอบประโลมผิวและป้องกันความแห้งกร้าน
  • เพื่อผิวกระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ:
  • วิตามินซี (Vitamin C) หรือ ทราเนซามิก แอซิด (Tranexamic Acid): ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกับ Niacinamide โดยจัดการกับกระบวนการสร้างเม็ดสีในขั้นตอนที่ต่างกัน ทำให้ลดเลือนจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพื่อลดเลือนริ้วรอย:
  • เรตินอล (Retinol): Niacinamide ช่วยลดการระคายเคืองที่อาจเกิดจากเรตินอล และเสริมประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย
  • เปปไทด์ (Peptides): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดย Niacinamide จะช่วยปรับสภาพแวดล้อมของผิวให้พร้อมรับการทำงานของเปปไทด์

การเลือกผลิตภัณฑ์ และเมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์

เกณฑ์การเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีไนอะซินาไมด์

เกณฑ์การเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีไนอะซินาไมด์คือ พิจารณาจากคุณภาพของสูตร ความเข้มข้นที่เหมาะสม รูปแบบผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาคุณภาพ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรพิจารณาดังนี้:

  • คุณภาพของสูตรและความเข้มข้น: เลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือซึ่งระบุความเข้มข้นชัดเจน โดยความเข้มข้นที่ 2-5% ก็เพียงพอที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวและมีโอกาสเกิดการระคายเคืองต่ำ ควรเลือกสูตรที่ปราศจากสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม และพิจารณาส่วนผสมเสริมที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ซิงค์ (Zinc) สำหรับผิวมัน หรือกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) สำหรับผิวแห้ง
  • รูปแบบผลิตภัณฑ์: เลือกรูปแบบที่เหมาะกับความต้องการ เช่น เซรั่ม สำหรับการบำรุงที่เข้มข้นและซึมซาบเร็ว เหมาะกับผิวมันหรือใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุด หรือ มอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย หรือใช้เพื่อการบำรุงทั่วไปในชีวิตประจำวัน
  • บรรจุภัณฑ์: เลือกผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ทึบแสง เช่น ขวดสีชา หรือขวดแบบปั๊มสุญญากาศ (Airless Pump) เพื่อป้องกันส่วนผสมเสื่อมสภาพจากแสงแดดและอากาศ

รูปแบบผลิตภัณฑ์: เซรั่ม ครีม หรือโทนเนอร์

Niacinamide มีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องล้างออก เช่น เซรั่มและครีม เนื่องจากจะช่วยให้ส่วนผสมมีเวลาซึมซาบและทำงานบนผิวได้อย่างเต็มที่

  • เซรั่ม: มักมีความเข้มข้นสูงสุด (5-10%) เนื้อบางเบา ซึมเร็ว เหมาะสำหรับผิวมันหรือใช้เพื่อเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น รอยสิว หรือรูขุมขน
  • มอยส์เจอไรเซอร์/ครีม: มักมีความเข้มข้น 2-5% เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย เพราะให้ทั้งคุณประโยชน์ของ Niacinamide และความชุ่มชื้นไปพร้อมกัน
  • โทนเนอร์/เอสเซนส์: มีความเข้มข้นต่ำกว่า (1-5%) เหมาะสำหรับใช้เป็นขั้นตอนแรกเพื่อเตรียมผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นเบื้องต้น
  • คลีนเซอร์: ให้ประโยชน์น้อยที่สุด เนื่องจากถูกล้างออกไปอย่างรวดเร็ว

สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลด้วยตนเองไม่เพียงพอ

คุณควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เมื่อมีปัญหาผิวที่รักษายากและไม่ดีขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง หรือเมื่อเกิดอาการแพ้รุนแรง

สัญญาณที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:

  • มีปัญหาผิวที่รักษายาก เช่น ฝ้าหนา สิวอักเสบรุนแรง หรือโรคผิวหนังอื่นๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคโรซาเชีย
  • ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ผื่นแดง คัน หรือแสบร้อน ที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้

ผลข้างเคียงและความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

อาการแพ้ไนอะซินาไมด์ที่อาจพบได้

อาการแพ้หรือระคายเคืองไนอะซินาไมด์ที่อาจพบได้คือ ผิวแดง, อาการแดงเห่อ (flushing), คัน, แสบเล็กน้อย หรือเกิดสิวผด

โดยทั่วไปแล้ว สิวที่เกิดขึ้นไม่ใช่การ “ดันสิว” (purging) แต่เป็นสิวจากการระคายเคือง เนื่องจากไนอะซินาไมด์ไม่ได้เร่งการผลัดเซลล์ผิว อาการแสบยิบๆ หรือรู้สึกอุ่นๆ เล็กน้อยหลังทาอาจเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเอง แต่หากมีอาการแสบรุนแรงหรือแดงมากถือเป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติ ซึ่งมักพบได้บ่อยขึ้นเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง (10% ขึ้นไป)

ความเชื่อผิดๆ: ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูงยิ่งดีจริงหรือ?

ความเชื่อที่ว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านั้นไม่เป็นความจริง ในความเป็นจริง ประโยชน์ของไนอะซินาไมด์จะเริ่มคงที่เมื่อความเข้มข้นสูงเกินระดับหนึ่ง งานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ว่าความเข้มข้นที่ 2-5% ก็เพียงพอที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การใช้ความเข้มข้นที่สูงเกินไป เช่น 10-20% อาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวได้

ไนอะซินาไมด์ทำให้สิวเห่อ (Purging) หรือไม่?

ไม่, ไนอะซินาไมด์ไม่ได้ทำให้เกิดสิวเห่อ (Purging)

การเห่อของสิว (Purging) เกิดจากส่วนผสมที่เร่งการผลัดเซลล์ผิว เช่น เรตินอยด์หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ซึ่งไนอะซินาไมด์ไม่มีกลไกการทำงานดังกล่าว หากเกิดสิวขึ้นหลังจากใช้ไนอะซินาไมด์ อาจเป็นอาการระคายเคืองจากส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ หรือเป็นสิวที่เกิดขึ้นตามปกติ ไม่ใช่การ purging

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไนอะซินาไมด์ (FAQ)

ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทุกวันหรือไม่?

ได้ ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทุกวัน เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและปลอดภัยต่อผิว และการใช้อย่างสม่ำเสมอคือวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทั้งในตอนเช้าและตอนกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก และไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด การใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นในระยะยาว

คนท้องหรือให้นมบุตรใช้ไนอะซินาไมด์ได้ไหม?

ใช้ได้ ไนอะซินาไมด์ถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

เนื่องจากการใช้ทาภายนอกไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ และมักถูกแนะนำให้ใช้แทนส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัยอย่างเรตินอยด์ เพื่อดูแลปัญหาสิวหรือฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์

ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น รอยดำจางลง รูขุมขนกระชับขึ้น หรือริ้วรอยลดลง หลังจากใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 6–8 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เช่น ความมันบนใบลดลงหรือรอยแดงบรรเทาลง อาจสังเกตเห็นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์แรก สำหรับการลดเลือนจุดด่างดำและริ้วรอย อาจต้องใช้เวลา 8–12 สัปดาห์ขึ้นไปจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอลได้หรือไม่?

สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอลได้ และยังเป็นการจับคู่ที่ส่งเสริมประสิทธิภาพกันได้เป็นอย่างดี

ไนอะซินาไมด์มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและลดการอักเสบ จึงสามารถลดอาการระคายเคือง รอยแดง และความแห้งที่อาจเกิดจากการใช้เรตินอลได้ ทำให้ผิวทนต่อการใช้เรตินอลได้ดีขึ้น การใช้สองส่วนผสมนี้ร่วมกันจะช่วยส่งเสริมให้ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย และมีสีผิวสม่ำเสมอ โดยมีการระคายเคืองน้อยลง

ไนอะซินาไมด์ช่วยเรื่องสิวอุดตันได้จริงหรือ?

ใช่ ไนอะซินาไมด์ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้ในระดับหนึ่ง โดยจะช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) บนใบหน้า ทำให้รูขุมขนมีโอกาสอุดตันน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ไนอะซินาไมด์ไม่ได้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเพื่อกำจัดสิวอุดตันที่มีอยู่เดิมโดยตรงเหมือนกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) แต่จะเน้นไปที่การป้องกันการเกิดใหม่และช่วยให้สิวอักเสบลดลงมากกว่า

หากใช้แล้วรู้สึกยิบๆ ที่ผิว ควรทำอย่างไร?

คุณสามารถจัดการอาการยิบๆ ได้โดย ทาหลังมอยส์เจอไรเซอร์ ทาบนผิวที่หมาดเล็กน้อย หรือลดความถี่ในการใช้ อาการยิบๆ หรืออุ่นๆ เล็กน้อยหลังทาอาจเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะกับผิวที่แห้ง และควรจะหายไปอย่างรวดเร็ว

หากต้องการลดอาการดังกล่าว ให้ลองทำตามวิธีต่อไปนี้:

  • ทาหลังมอยส์เจอไรเซอร์: การทาไนอะซินาไมด์หลังมอยส์เจอไรเซอร์ (Buffering) จะช่วยลดความเข้มข้นและลดการระคายเคืองได้
  • ทาบนผิวหมาด: ลองทาเซรั่มบนผิวที่ยังชื้นเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์กระจายตัวได้ดีขึ้น
  • ลดความถี่หรือความเข้มข้น: หากอาการยังคงอยู่ ให้ลองลดความถี่ในการใช้ลง (เช่น จากทุกวันเป็นวันเว้นวัน) หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า

หากอาการรุนแรงขึ้น แสบร้อน หรือไม่หายไป ควรล้างผลิตภัณฑ์ออกทันที

References:

  1. Farris, P. & Lain, E. (2025). Niacinamide: A Multi-functional Cosmeceutical Ingredient. Practical Dermatology. practicaldermatology.com
  2. Boo, Y. C. (2021). Mechanistic Basis and Clinical Evidence for the Applications of Nicotinamide (Niacinamide) to Control Skin Aging and Pigmentation. Antioxidants, 10(8), 1315. mdpi.com
  3. Sjöberg, T. et al. (2025). Niacinamide and its impact on stratum corneum hydration and structure. Scientific Reports, 15(1), 4953. nature.com
  4. Clista, B. (2024). Can You Mix Niacinamide and Vitamin C? GoodRx Health. goodrx.com
  5. Levinson, L. (2024). How to Effectively Use Niacinamide With AHAs and BHAs in Your Skincare Routine. Skincare.com (L’Oréal). skincare.com
  6. Curology Team. (2023). Unlocking the Potential of Niacinamide: What Percentage is Effective for Skin Health? Curology Blog. curology.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
มาร์คหน้าทุกวันดีไหม? ไขข้อข้องใจพร้อมวิธีใช้มาส์กที่ถูกต้อง

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube