วิตามินเอ (Retinol) ประโยชน์เพื่อผิวสวย ลดสิว ลดเลือนริ้วรอย

วิตามินเอช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร
วิตามินเอช่วยแก้ปัญหาสิว ริ้วรอย และจุดด่างดำ โดยการควบคุมการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
วิตามินเอที่ใช้ทาบนผิวหนัง (เรตินอยด์) ทำงานผ่านกลไกหลัก 3 ประการ ดังนี้
- ลดสิว: ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนให้เป็นปกติ ป้องกันการอุดตันซึ่งเป็นสาเหตุของสิว และยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดสิวอักเสบได้
- ลดริ้วรอย: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
- ลดจุดด่างดำ: เร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ และช่วยยับยั้งการส่งต่อเม็ดสีเมลานิน ทำให้จุดด่างดำ รอยสิว และฝ้าจางลง
ลดการอุดตันและอักเสบของสิว
วิตามินเอในรูปแบบทา (เรตินอยด์) ช่วยลดการอุดตันโดยการควบคุมการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนให้เป็นปกติและลดการอักเสบของสิว สารกลุ่มนี้จะเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อกำจัดสิวอุดตันที่มีอยู่และป้องกันการเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบโดยตรง ซึ่งช่วยลดรอยแดงและการอักเสบของสิวได้
กระตุ้นคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย
เรตินอยด์ (อนุพันธ์วิตามินเอ) จะจับกับตัวรับในเซลล์ผิวหนัง (RARs) เพื่อกระตุ้นยีนที่สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักของผิว
การทำงานนี้ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนใหม่ พร้อมทั้งยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน (MMPs) ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวจะกระชับขึ้น ริ้วรอยดูตื้นขึ้น และความยืดหยุ่นของผิวดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้อย่างต่อเนื่องยังช่วยให้ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้หนาขึ้น ทำให้ผิวโดยรวมเรียบเนียนขึ้น
ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนจุดด่างดำ
เรตินอยด์ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนจุดด่างดำโดย การเร่งการผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการกระจายตัวของเม็ดสีเมลานิน
กลไกหลักคือการเร่งให้เซลล์ผิวชั้นนอกที่มีเม็ดสีสะสมอยู่หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น พร้อมทั้งขัดขวางการส่งผ่านเม็ดสีไปยังเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น ส่งผลให้จุดด่างดำ รอยสิว และฝ้าค่อยๆ จางลง
รู้จักอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) สำหรับการทาผิว
Retinol: รูปแบบที่หาได้ทั่วไปและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
เรตินอล (Retinol) คืออนุพันธ์วิตามินเอรูปแบบหนึ่งที่หาซื้อได้ทั่วไป (over-the-counter) ซึ่งมีความอ่อนโยนและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้ หรือผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
เนื่องจากเรตินอลต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูป 2 ขั้นตอนในผิวหนังเพื่อให้สามารถออกฤทธิ์ได้ จึงมีความแรงน้อยกว่าและก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าอนุพันธ์วิตามินเอรูปแบบอื่นที่ต้องสั่งโดยแพทย์ แม้จะเห็นผลช้ากว่า (มักใช้เวลา 3 เดือนขึ้นไป) แต่เรตินอลยังคงช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ดูจางลง และผิวดูกระจ่างใสขึ้นเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง
Retinaldehyde (Retinal): ออกฤทธิ์เร็วกว่าและระคายเคืองน้อย
เรตินาลดีไฮด์ (Retinal) คืออนุพันธ์วิตามินเอที่เป็นสารตั้งต้นสายตรงของกรดเรติโนอิก (retinoic acid) ซึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงในผิวหนังเพียงขั้นตอนเดียวเพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เรตินาลออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเรตินอล แต่โดยทั่วไปแล้วจะก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าเตรติโนอิน (tretinoin) ซึ่งเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ทำให้เรตินาลเป็นตัวเลือกที่อยู่ตรงกลางที่สมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความอ่อนโยน
Tretinoin (Retinoic Acid): รูปแบบยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์
เทรติโนอิน (Tretinoin) หรือกรดเรติโนอิก (Retinoic Acid) คืออนุพันธ์วิตามินเอในรูปแบบที่พร้อมออกฤทธิ์ซึ่งมีจำหน่ายเป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น และถือเป็นเรตินอยด์ชนิดทาที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพรุนแรงที่สุด เนื่องจากเป็นรูปแบบที่พร้อมทำงานได้ทันทีจึงไม่ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูปในผิวหนัง ทำให้สามารถออกฤทธิ์ต่อเซลล์ผิวได้โดยตรง
เทรติโนอินเป็นยามาตรฐานสูงสุด (gold standard) สำหรับการรักษาสิวและลดเลือนริ้วรอย แต่ประสิทธิภาพที่สูงก็มาพร้อมกับโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองได้มากกว่า เช่น อาการแดง ลอก และแห้งในช่วงแรก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวระดับปานกลางถึงรุนแรงและควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
เกณฑ์การเลือกรูปแบบและความเข้มข้นให้เหมาะกับผิว
เกณฑ์การเลือกรูปแบบและความเข้มข้นของเรตินอยด์ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาผิว และประสบการณ์การใช้งาน โดยมีหลักการคือการเลือกใช้ตัวที่แรงที่สุดเท่าที่ผิวจะทนได้ในระยะยาวโดยไม่เกิดการระคายเคืองมากเกินไป
- ผู้เริ่มต้น ผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย: ควรเริ่มจากตัวที่อ่อนโยน เช่น เรตินอล (Retinol) ที่มีความเข้มข้นต่ำ เพื่อให้ผิวปรับตัวและลดการระคายเคือง
- ผิวมัน หรือผู้ที่เน้นรักษาสิว: อาจเลือกใช้อะแดพาลีน (Adapalene) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอุดตันและทนต่อการระคายเคืองได้ดี
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ด้านริ้วรอยที่ชัดเจน: อาจใช้เรตินาลดีไฮด์ (Retinaldehyde) ที่เห็นผลเร็วกว่าเรตินอล หรือเตรติโนอิน (Tretinoin) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็มีความเสี่ยงในการระคายเคืองสูงกว่า
- เนื้อผลิตภัณฑ์: เนื้อครีมเหมาะกับผิวแห้งหรือแพ้ง่าย ในขณะที่เนื้อเจลเหมาะกับผิวมัน
ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้วิตามินเอเพื่อดูแลผิว
ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบ
ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบสามารถใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินเอชนิดทา (เรตินอยด์) ได้ เนื่องจากเป็นยาหลักในการรักษาสิว
เรตินอยด์มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการรักษาสิวอุดตัน (สิวหัวดำและสิวหัวขาว) โดยช่วยป้องกันการก่อตัวของสิวอุดตันขนาดเล็กและช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อเคลียร์สิวที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดสิวอักเสบ (สิวแดงและสิวหัวหนอง) ได้อีกด้วย ตามแนวทางการรักษาปัจจุบัน เรตินอยด์ชนิดทาถือเป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
ผู้ที่ต้องการชะลอและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
ผู้ที่ต้องการรักษาหรือป้องกันริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และปัญหาผิวที่เกิดจากแสงแดดเป็นผู้ที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้วิตามินเอชนิดทา เนื่องจากเป็นสารออกฤทธิ์เฉพาะที่ซึ่งผ่านการศึกษาและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการจัดการกับสัญญาณแห่งวัยที่เกิดจากแสงแดด (photoaging)
วิตามินเอชนิดทาช่วยซ่อมแซมความเสียหายของผิวจากรังสียูวีโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความหนาของชั้นหนังกำพร้า ทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนขึ้น ผู้ใหญ่ที่กังวลเกี่ยวกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัยสามารถใช้วิตามินเอได้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มใช้เพื่อป้องกันในวัย 20 ปลายๆ หรือเพื่อแก้ไขริ้วรอยที่มองเห็นได้ชัดเจนในวัย 40 หรือ 50 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ
ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอสามารถใช้วิตามินเอได้ เนื่องจากวิตามินเอมีคุณสมบัติช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีที่สะสมอยู่หลุดลอกออกไป และยังช่วยยับยั้งการกระจายตัวของเม็ดสีในผิวหนัง ส่งผลให้จุดด่างดำและรอยคล้ำต่างๆ จางลงและสีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น
วิตามินเอมักถูกใช้ในการรักษาภาวะเหล่านี้:
- ฝ้า (Melasma): มักใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาร่วมกับสารอื่น เช่น ไฮโดรควิโนน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): ช่วยเร่งให้รอยดำที่เกิดจากสิวหรือการอักเสบจางลงได้เร็วขึ้น
- กระแดดและจุดด่างดำจากแสงแดด (Solar Lentigines): การใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนสามารถช่วยลดเลือนกระและจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดดได้
ข้อควรรู้ก่อนเริ่มใช้วิตามินเอทาผิว
ขั้นตอนการใช้เพื่อลดการระคายเคืองผิว
ขั้นตอนการใช้เรตินอยด์เพื่อลดการระคายเคืองคือ เริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำและค่อยๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับตัว
คำแนะนำในการใช้เพื่อลดการระคายเคืองมีดังนี้:
- เริ่มต้นช้าๆ: ในช่วงแรก ให้ใช้ผลิตภัณฑ์เพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความถี่เป็นวันเว้นวัน และใช้ทุกคืนในที่สุดหากผิวทนได้
- ใช้ปริมาณน้อย: ใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วสำหรับทาทั่วใบหน้า การใช้มากกว่านี้ไม่ได้ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น แต่อาจเพิ่มการระคายเคือง
- ทาบนผิวที่แห้ง: ควรรอประมาณ 20 นาทีหลังล้างหน้าเพื่อให้ผิวแห้งสนิทก่อนทาเรตินอยด์ เพื่อลดการระคายเคือง
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์: การทามอยส์เจอไรเซอร์หลังทาเรตินอยด์จะช่วยลดความแห้งและอาการลอกได้ หรืออาจทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อนเพื่อเป็นเกราะป้องกันผิว (วิธี Buffering)
- ปกป้องผิวจากแสงแดด: ต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากเรตินอยด์ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
ระยะเวลาที่ใช้ในการเห็นผลลัพธ์
ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จากการใช้วิตามินเอทาผิวจะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิว โดยทั่วไปแล้ว สิวจะเริ่มดีขึ้นใน 8–12 สัปดาห์ ในขณะที่ริ้วรอยและจุดด่างดำต้องใช้เวลา 3–6 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
- สิว: โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 8–12 สัปดาห์ในการเห็นผลว่าสิวอุดตันและสิวอักเสบลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- ริ้วรอยและจุดด่างดำ: ต้องใช้เวลา 3–6 เดือนในการปรับปรุงริ้วรอยตื้นๆ, จุดด่างดำ และสภาพผิวโดยรวม สำหรับริ้วรอยที่ลึกขึ้นอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือนขึ้นไป
การเลือกผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ร่วมกัน
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ให้ความชุ่มชื้น และช่วยปกป้องผิว เพื่อลดการระคายเคืองและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
เมื่อใช้วิตามินเอ ควรปรับผลิตภัณฑ์อื่นในขั้นตอนการดูแลผิว ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: ใช้สูตรอ่อนโยนที่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
- มอยส์เจอไรเซอร์: ทามอยส์เจอไรเซอร์เสมอเพื่อลดความแห้งกร้านและอาการลอกเป็นขุย
- ครีมกันแดด: จำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากวิตามินเอทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองร่วมกัน เช่น สครับที่รุนแรง หรือกรดผลัดเซลล์ผิวหลายชนิด โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น
ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้วิตามินเอ
อาการระคายเคือง: ผิวแห้ง แดง และลอกเป็นขุย
อาการผิวแห้ง แดง และลอกเป็นขุย เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในช่วง 2-6 สัปดาห์แรกของการใช้วิตามินเอ ซึ่งเป็นช่วงที่ผิวปรับสภาพ (Retinization)
อาการเหล่านี้เป็นเพียงชั่วคราวและเกิดจากอัตราการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วขึ้น โดยผู้ใช้ประมาณ 10-40% จะพบอาการดังกล่าว ซึ่งมักจะดีขึ้นและหายไปเองหลังผ่านไป 4-8 สัปดาห์ สามารถลดการระคายเคืองได้โดยเริ่มใช้ในปริมาณน้อยและความถี่ต่ำ (2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) และทามอยส์เจอไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ
ภาวะผิวไวต่อแสงแดดที่เพิ่มขึ้น
เรตินอยด์ชนิดทาจะเพิ่มความไวของผิวต่อแสงยูวี เนื่องจากเรตินอยด์จะทำให้ชั้นหนังกำพร้าด้านนอกสุดบางลงเล็กน้อยจากการผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นให้เซลล์ผิวใหม่ที่ไวต่อการไหม้แดดขึ้นมาที่ผิวชั้นบน ด้วยเหตุนี้ การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ใช้เรตินอยด์
ข้อห้ามใช้สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้อนุพันธ์วิตามินเอ (เรตินอยด์) ทุกชนิดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสารกลุ่มนี้มีโอกาสทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ แม้ว่าการใช้ยาในรูปแบบทาจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อย แต่คำแนะนำทางการแพทย์ยังคงแนะนำให้งดใช้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยข้อห้ามนี้ครอบคลุมทั้งช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ พยายามจะตั้งครรภ์ และช่วงที่กำลังให้นมบุตร
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้วิตามินเอรักษาสิวและริ้วรอย
วิตามินเอช่วยเรื่องสิวและริ้วรอยได้จริงหรือไม่
วิตามินเอในรูปแบบทา (เรตินอยด์) สามารถช่วยรักษาสิวและลดเลือนริ้วรอยได้จริง โดยมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้
- สำหรับสิว: วิตามินเอช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ป้องกันการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทั้งยังช่วยลดการอักเสบของสิวได้อีกด้วย
- สำหรับริ้วรอย: วิตามินเอช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเต่งตึงขึ้น ส่งผลให้ริ้วรอยร่องตื้นดูจางลง
ควรเริ่มใช้วิตามินเอสำหรับผิวเมื่ออายุเท่าไหร่
ไม่มีอายุที่ “เหมาะสม” เพียงหนึ่งเดียวในการเริ่มใช้วิตามินเอ เนื่องจากขึ้นอยู่กับความต้องการของผิวแต่ละบุคคล
- สำหรับการรักษาสิว: สามารถเริ่มใช้ได้ในช่วงวัยรุ่นตอนกลางถึงตอนปลายเมื่อมีปัญหาสิว
- สำหรับการป้องกันริ้วรอย: แพทย์ผิวหนังหลายคนแนะนำให้เริ่มใช้ในช่วงอายุ 20 กลางๆ เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยและรักษาความเรียบเนียนของผิว
ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์บนผิว
โดยทั่วไปจะใช้เวลา 8–12 สัปดาห์ในการรักษาสิว และ 3–6 เดือนในการลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ การเห็นผลลัพธ์จากการใช้วิตามินเอเฉพาะที่ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ
- สำหรับสิว: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการลดลงของสิวอุดตันและสิวอักเสบในเวลาประมาณ 8–12 สัปดาห์
- สำหรับริ้วรอยและจุดด่างดำ: จะต้องใช้เวลา 3–6 เดือนในการปรับปรุงริ้วรอยตื้นๆ, สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และผิวสัมผัสให้ดีขึ้น โดยผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน
วิตามินเอในอาหารเพียงพอต่อการบำรุงผิวหรือไม่
การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูงนั้นดีต่อสุขภาพผิวโดยรวม แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการรักษาสิวและริ้วรอยได้เทียบเท่ากับการใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอยด์ทาผิวโดยตรง
วิตามินเอจากอาหารช่วยบำรุงผิวให้อยู่ในสภาพดี แต่การทาเรตินอยด์จะส่งอนุพันธ์วิตามินเอที่มีความเข้มข้นสูงไปยังผิวโดยตรง ซึ่งจำเป็นต่อการกระตุ้นคอลลาเจน, เร่งการผลัดเซลล์ผิว และแก้ปัญหาสิวอุดตัน การบริโภควิตามินเอในปริมาณมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น แม้ว่าอาหารจะมีความสำคัญต่อสุขภาพผิวพื้นฐาน แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง
ใครบ้างที่ไม่ควรใช้วิตามินเอทาผิว
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ พยายามตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ไม่ควรใช้วิตามินเอทาผิวโดยเด็ดขาด เนื่องจากอนุพันธ์ของวิตามินเอมีโอกาสก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิดแก่ทารกได้ แม้การดูดซึมผ่านผิวหนังจะต่ำ แต่คำแนะนำทางการแพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
สามารถใช้วิตามินเอร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นได้ไหม
ได้ แต่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นใช้
การใช้วิตามินเอ (เรตินอยด์) ร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นควรเน้นที่การดูแลและปกป้องผิว ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ร่วมด้วย: ควรใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อลดความแห้งกร้าน และที่สำคัญที่สุดคือครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เพราะวิตามินเอทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองผิว เช่น สครับที่รุนแรง หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (Exfoliating Acids) หลายชนิดพร้อมกัน
References:
- American Academy of Dermatology (AAD). Retinoids and Vitamin A for Skin. AAD. aad.org
- DermNet NZ. Vitamin A and Retinoids in Dermatology. DermNet NZ. dermnetnz.org
- National Institutes of Health. Vitamin A Information. NIH. nih.gov
- Healthline. The Benefits — and Limits — of Vitamin A for Your Skin. Healthline. healthline.com
- MDPI. Vitamin A and Skin Health Research. MDPI Journals. mdpi.com
