Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Wellness

วิตามินเอ (Retinol) ประโยชน์เพื่อผิวสวย ลดสิว ลดเลือนริ้วรอย

Byadmin พฤศจิกายน 5, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 5, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
วิตามินเอ (Retinol) ประโยชน์เพื่อผิวสวย ลดสิว ลดเลือนริ้วรอย

Table of Contents

Toggle
  • วิตามินเอช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร
    • ลดการอุดตันและอักเสบของสิว
    • กระตุ้นคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย
    • ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนจุดด่างดำ
  • รู้จักอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) สำหรับการทาผิว
    • Retinol: รูปแบบที่หาได้ทั่วไปและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
    • Retinaldehyde (Retinal): ออกฤทธิ์เร็วกว่าและระคายเคืองน้อย
    • Tretinoin (Retinoic Acid): รูปแบบยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์
    • เกณฑ์การเลือกรูปแบบและความเข้มข้นให้เหมาะกับผิว
  • ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้วิตามินเอเพื่อดูแลผิว
    • ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบ
    • ผู้ที่ต้องการชะลอและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
    • ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • ข้อควรรู้ก่อนเริ่มใช้วิตามินเอทาผิว
    • ขั้นตอนการใช้เพื่อลดการระคายเคืองผิว
    • ระยะเวลาที่ใช้ในการเห็นผลลัพธ์
    • การเลือกผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ร่วมกัน
  • ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้วิตามินเอ
    • อาการระคายเคือง: ผิวแห้ง แดง และลอกเป็นขุย
    • ภาวะผิวไวต่อแสงแดดที่เพิ่มขึ้น
    • ข้อห้ามใช้สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้วิตามินเอรักษาสิวและริ้วรอย
    • วิตามินเอช่วยเรื่องสิวและริ้วรอยได้จริงหรือไม่
    • ควรเริ่มใช้วิตามินเอสำหรับผิวเมื่ออายุเท่าไหร่
    • ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์บนผิว
    • วิตามินเอในอาหารเพียงพอต่อการบำรุงผิวหรือไม่
    • ใครบ้างที่ไม่ควรใช้วิตามินเอทาผิว
    • สามารถใช้วิตามินเอร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นได้ไหม
  • References:

วิตามินเอช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร

วิตามินเอช่วยแก้ปัญหาสิว ริ้วรอย และจุดด่างดำ โดยการควบคุมการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

วิตามินเอที่ใช้ทาบนผิวหนัง (เรตินอยด์) ทำงานผ่านกลไกหลัก 3 ประการ ดังนี้

  • ลดสิว: ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนให้เป็นปกติ ป้องกันการอุดตันซึ่งเป็นสาเหตุของสิว และยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดสิวอักเสบได้
  • ลดริ้วรอย: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
  • ลดจุดด่างดำ: เร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ และช่วยยับยั้งการส่งต่อเม็ดสีเมลานิน ทำให้จุดด่างดำ รอยสิว และฝ้าจางลง

ลดการอุดตันและอักเสบของสิว

วิตามินเอในรูปแบบทา (เรตินอยด์) ช่วยลดการอุดตันโดยการควบคุมการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนให้เป็นปกติและลดการอักเสบของสิว สารกลุ่มนี้จะเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อกำจัดสิวอุดตันที่มีอยู่และป้องกันการเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบโดยตรง ซึ่งช่วยลดรอยแดงและการอักเสบของสิวได้

กระตุ้นคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย

เรตินอยด์ (อนุพันธ์วิตามินเอ) จะจับกับตัวรับในเซลล์ผิวหนัง (RARs) เพื่อกระตุ้นยีนที่สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักของผิว

การทำงานนี้ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนใหม่ พร้อมทั้งยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน (MMPs) ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวจะกระชับขึ้น ริ้วรอยดูตื้นขึ้น และความยืดหยุ่นของผิวดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้อย่างต่อเนื่องยังช่วยให้ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้หนาขึ้น ทำให้ผิวโดยรวมเรียบเนียนขึ้น

ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนจุดด่างดำ

เรตินอยด์ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดเลือนจุดด่างดำโดย การเร่งการผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการกระจายตัวของเม็ดสีเมลานิน

กลไกหลักคือการเร่งให้เซลล์ผิวชั้นนอกที่มีเม็ดสีสะสมอยู่หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น พร้อมทั้งขัดขวางการส่งผ่านเม็ดสีไปยังเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น ส่งผลให้จุดด่างดำ รอยสิว และฝ้าค่อยๆ จางลง

รู้จักอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) สำหรับการทาผิว

Retinol: รูปแบบที่หาได้ทั่วไปและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น

เรตินอล (Retinol) คืออนุพันธ์วิตามินเอรูปแบบหนึ่งที่หาซื้อได้ทั่วไป (over-the-counter) ซึ่งมีความอ่อนโยนและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้ หรือผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

เนื่องจากเรตินอลต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูป 2 ขั้นตอนในผิวหนังเพื่อให้สามารถออกฤทธิ์ได้ จึงมีความแรงน้อยกว่าและก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าอนุพันธ์วิตามินเอรูปแบบอื่นที่ต้องสั่งโดยแพทย์ แม้จะเห็นผลช้ากว่า (มักใช้เวลา 3 เดือนขึ้นไป) แต่เรตินอลยังคงช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ดูจางลง และผิวดูกระจ่างใสขึ้นเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง

Retinaldehyde (Retinal): ออกฤทธิ์เร็วกว่าและระคายเคืองน้อย

เรตินาลดีไฮด์ (Retinal) คืออนุพันธ์วิตามินเอที่เป็นสารตั้งต้นสายตรงของกรดเรติโนอิก (retinoic acid) ซึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงในผิวหนังเพียงขั้นตอนเดียวเพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เรตินาลออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเรตินอล แต่โดยทั่วไปแล้วจะก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าเตรติโนอิน (tretinoin) ซึ่งเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ทำให้เรตินาลเป็นตัวเลือกที่อยู่ตรงกลางที่สมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความอ่อนโยน

Tretinoin (Retinoic Acid): รูปแบบยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์

เทรติโนอิน (Tretinoin) หรือกรดเรติโนอิก (Retinoic Acid) คืออนุพันธ์วิตามินเอในรูปแบบที่พร้อมออกฤทธิ์ซึ่งมีจำหน่ายเป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น และถือเป็นเรตินอยด์ชนิดทาที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพรุนแรงที่สุด เนื่องจากเป็นรูปแบบที่พร้อมทำงานได้ทันทีจึงไม่ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนรูปในผิวหนัง ทำให้สามารถออกฤทธิ์ต่อเซลล์ผิวได้โดยตรง

เทรติโนอินเป็นยามาตรฐานสูงสุด (gold standard) สำหรับการรักษาสิวและลดเลือนริ้วรอย แต่ประสิทธิภาพที่สูงก็มาพร้อมกับโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองได้มากกว่า เช่น อาการแดง ลอก และแห้งในช่วงแรก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวระดับปานกลางถึงรุนแรงและควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

เกณฑ์การเลือกรูปแบบและความเข้มข้นให้เหมาะกับผิว

เกณฑ์การเลือกรูปแบบและความเข้มข้นของเรตินอยด์ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาผิว และประสบการณ์การใช้งาน โดยมีหลักการคือการเลือกใช้ตัวที่แรงที่สุดเท่าที่ผิวจะทนได้ในระยะยาวโดยไม่เกิดการระคายเคืองมากเกินไป

  • ผู้เริ่มต้น ผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย: ควรเริ่มจากตัวที่อ่อนโยน เช่น เรตินอล (Retinol) ที่มีความเข้มข้นต่ำ เพื่อให้ผิวปรับตัวและลดการระคายเคือง
  • ผิวมัน หรือผู้ที่เน้นรักษาสิว: อาจเลือกใช้อะแดพาลีน (Adapalene) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอุดตันและทนต่อการระคายเคืองได้ดี
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ด้านริ้วรอยที่ชัดเจน: อาจใช้เรตินาลดีไฮด์ (Retinaldehyde) ที่เห็นผลเร็วกว่าเรตินอล หรือเตรติโนอิน (Tretinoin) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็มีความเสี่ยงในการระคายเคืองสูงกว่า
  • เนื้อผลิตภัณฑ์: เนื้อครีมเหมาะกับผิวแห้งหรือแพ้ง่าย ในขณะที่เนื้อเจลเหมาะกับผิวมัน

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้วิตามินเอเพื่อดูแลผิว

ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบ

ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบสามารถใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินเอชนิดทา (เรตินอยด์) ได้ เนื่องจากเป็นยาหลักในการรักษาสิว

เรตินอยด์มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการรักษาสิวอุดตัน (สิวหัวดำและสิวหัวขาว) โดยช่วยป้องกันการก่อตัวของสิวอุดตันขนาดเล็กและช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อเคลียร์สิวที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดสิวอักเสบ (สิวแดงและสิวหัวหนอง) ได้อีกด้วย ตามแนวทางการรักษาปัจจุบัน เรตินอยด์ชนิดทาถือเป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง

ผู้ที่ต้องการชะลอและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย

ผู้ที่ต้องการรักษาหรือป้องกันริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และปัญหาผิวที่เกิดจากแสงแดดเป็นผู้ที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้วิตามินเอชนิดทา เนื่องจากเป็นสารออกฤทธิ์เฉพาะที่ซึ่งผ่านการศึกษาและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการจัดการกับสัญญาณแห่งวัยที่เกิดจากแสงแดด (photoaging)

วิตามินเอชนิดทาช่วยซ่อมแซมความเสียหายของผิวจากรังสียูวีโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความหนาของชั้นหนังกำพร้า ทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนขึ้น ผู้ใหญ่ที่กังวลเกี่ยวกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัยสามารถใช้วิตามินเอได้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มใช้เพื่อป้องกันในวัย 20 ปลายๆ หรือเพื่อแก้ไขริ้วรอยที่มองเห็นได้ชัดเจนในวัย 40 หรือ 50 ปีขึ้นไป

ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอสามารถใช้วิตามินเอได้ เนื่องจากวิตามินเอมีคุณสมบัติช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีที่สะสมอยู่หลุดลอกออกไป และยังช่วยยับยั้งการกระจายตัวของเม็ดสีในผิวหนัง ส่งผลให้จุดด่างดำและรอยคล้ำต่างๆ จางลงและสีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

วิตามินเอมักถูกใช้ในการรักษาภาวะเหล่านี้:

  • ฝ้า (Melasma): มักใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาร่วมกับสารอื่น เช่น ไฮโดรควิโนน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): ช่วยเร่งให้รอยดำที่เกิดจากสิวหรือการอักเสบจางลงได้เร็วขึ้น
  • กระแดดและจุดด่างดำจากแสงแดด (Solar Lentigines): การใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนสามารถช่วยลดเลือนกระและจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดดได้

ข้อควรรู้ก่อนเริ่มใช้วิตามินเอทาผิว

ขั้นตอนการใช้เพื่อลดการระคายเคืองผิว

ขั้นตอนการใช้เรตินอยด์เพื่อลดการระคายเคืองคือ เริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำและค่อยๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับตัว

คำแนะนำในการใช้เพื่อลดการระคายเคืองมีดังนี้:

  1. เริ่มต้นช้าๆ: ในช่วงแรก ให้ใช้ผลิตภัณฑ์เพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความถี่เป็นวันเว้นวัน และใช้ทุกคืนในที่สุดหากผิวทนได้
  • ใช้ปริมาณน้อย: ใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วสำหรับทาทั่วใบหน้า การใช้มากกว่านี้ไม่ได้ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น แต่อาจเพิ่มการระคายเคือง
  • ทาบนผิวที่แห้ง: ควรรอประมาณ 20 นาทีหลังล้างหน้าเพื่อให้ผิวแห้งสนิทก่อนทาเรตินอยด์ เพื่อลดการระคายเคือง
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์: การทามอยส์เจอไรเซอร์หลังทาเรตินอยด์จะช่วยลดความแห้งและอาการลอกได้ หรืออาจทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อนเพื่อเป็นเกราะป้องกันผิว (วิธี Buffering)
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด: ต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากเรตินอยด์ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น

ระยะเวลาที่ใช้ในการเห็นผลลัพธ์

ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จากการใช้วิตามินเอทาผิวจะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิว โดยทั่วไปแล้ว สิวจะเริ่มดีขึ้นใน 8–12 สัปดาห์ ในขณะที่ริ้วรอยและจุดด่างดำต้องใช้เวลา 3–6 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

  • สิว: โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 8–12 สัปดาห์ในการเห็นผลว่าสิวอุดตันและสิวอักเสบลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ริ้วรอยและจุดด่างดำ: ต้องใช้เวลา 3–6 เดือนในการปรับปรุงริ้วรอยตื้นๆ, จุดด่างดำ และสภาพผิวโดยรวม สำหรับริ้วรอยที่ลึกขึ้นอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือนขึ้นไป

การเลือกผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ร่วมกัน

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ให้ความชุ่มชื้น และช่วยปกป้องผิว เพื่อลดการระคายเคืองและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

เมื่อใช้วิตามินเอ ควรปรับผลิตภัณฑ์อื่นในขั้นตอนการดูแลผิว ดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: ใช้สูตรอ่อนโยนที่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
  • มอยส์เจอไรเซอร์: ทามอยส์เจอไรเซอร์เสมอเพื่อลดความแห้งกร้านและอาการลอกเป็นขุย
  • ครีมกันแดด: จำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากวิตามินเอทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองร่วมกัน เช่น สครับที่รุนแรง หรือกรดผลัดเซลล์ผิวหลายชนิด โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น

ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้วิตามินเอ

อาการระคายเคือง: ผิวแห้ง แดง และลอกเป็นขุย

อาการผิวแห้ง แดง และลอกเป็นขุย เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในช่วง 2-6 สัปดาห์แรกของการใช้วิตามินเอ ซึ่งเป็นช่วงที่ผิวปรับสภาพ (Retinization)

อาการเหล่านี้เป็นเพียงชั่วคราวและเกิดจากอัตราการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วขึ้น โดยผู้ใช้ประมาณ 10-40% จะพบอาการดังกล่าว ซึ่งมักจะดีขึ้นและหายไปเองหลังผ่านไป 4-8 สัปดาห์ สามารถลดการระคายเคืองได้โดยเริ่มใช้ในปริมาณน้อยและความถี่ต่ำ (2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) และทามอยส์เจอไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ

ภาวะผิวไวต่อแสงแดดที่เพิ่มขึ้น

เรตินอยด์ชนิดทาจะเพิ่มความไวของผิวต่อแสงยูวี เนื่องจากเรตินอยด์จะทำให้ชั้นหนังกำพร้าด้านนอกสุดบางลงเล็กน้อยจากการผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นให้เซลล์ผิวใหม่ที่ไวต่อการไหม้แดดขึ้นมาที่ผิวชั้นบน ด้วยเหตุนี้ การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ใช้เรตินอยด์

ข้อห้ามใช้สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร

สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้อนุพันธ์วิตามินเอ (เรตินอยด์) ทุกชนิดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากสารกลุ่มนี้มีโอกาสทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ แม้ว่าการใช้ยาในรูปแบบทาจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อย แต่คำแนะนำทางการแพทย์ยังคงแนะนำให้งดใช้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยข้อห้ามนี้ครอบคลุมทั้งช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ พยายามจะตั้งครรภ์ และช่วงที่กำลังให้นมบุตร

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้วิตามินเอรักษาสิวและริ้วรอย

วิตามินเอช่วยเรื่องสิวและริ้วรอยได้จริงหรือไม่

วิตามินเอในรูปแบบทา (เรตินอยด์) สามารถช่วยรักษาสิวและลดเลือนริ้วรอยได้จริง โดยมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้

  • สำหรับสิว: วิตามินเอช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ป้องกันการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทั้งยังช่วยลดการอักเสบของสิวได้อีกด้วย
  • สำหรับริ้วรอย: วิตามินเอช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเต่งตึงขึ้น ส่งผลให้ริ้วรอยร่องตื้นดูจางลง

ควรเริ่มใช้วิตามินเอสำหรับผิวเมื่ออายุเท่าไหร่

ไม่มีอายุที่ “เหมาะสม” เพียงหนึ่งเดียวในการเริ่มใช้วิตามินเอ เนื่องจากขึ้นอยู่กับความต้องการของผิวแต่ละบุคคล

  • สำหรับการรักษาสิว: สามารถเริ่มใช้ได้ในช่วงวัยรุ่นตอนกลางถึงตอนปลายเมื่อมีปัญหาสิว
  • สำหรับการป้องกันริ้วรอย: แพทย์ผิวหนังหลายคนแนะนำให้เริ่มใช้ในช่วงอายุ 20 กลางๆ เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยและรักษาความเรียบเนียนของผิว

ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์บนผิว

โดยทั่วไปจะใช้เวลา 8–12 สัปดาห์ในการรักษาสิว และ 3–6 เดือนในการลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ การเห็นผลลัพธ์จากการใช้วิตามินเอเฉพาะที่ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ

  • สำหรับสิว: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการลดลงของสิวอุดตันและสิวอักเสบในเวลาประมาณ 8–12 สัปดาห์
  • สำหรับริ้วรอยและจุดด่างดำ: จะต้องใช้เวลา 3–6 เดือนในการปรับปรุงริ้วรอยตื้นๆ, สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และผิวสัมผัสให้ดีขึ้น โดยผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน

วิตามินเอในอาหารเพียงพอต่อการบำรุงผิวหรือไม่

การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูงนั้นดีต่อสุขภาพผิวโดยรวม แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการรักษาสิวและริ้วรอยได้เทียบเท่ากับการใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอยด์ทาผิวโดยตรง

วิตามินเอจากอาหารช่วยบำรุงผิวให้อยู่ในสภาพดี แต่การทาเรตินอยด์จะส่งอนุพันธ์วิตามินเอที่มีความเข้มข้นสูงไปยังผิวโดยตรง ซึ่งจำเป็นต่อการกระตุ้นคอลลาเจน, เร่งการผลัดเซลล์ผิว และแก้ปัญหาสิวอุดตัน การบริโภควิตามินเอในปริมาณมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น แม้ว่าอาหารจะมีความสำคัญต่อสุขภาพผิวพื้นฐาน แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง

ใครบ้างที่ไม่ควรใช้วิตามินเอทาผิว

ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ พยายามตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ไม่ควรใช้วิตามินเอทาผิวโดยเด็ดขาด เนื่องจากอนุพันธ์ของวิตามินเอมีโอกาสก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิดแก่ทารกได้ แม้การดูดซึมผ่านผิวหนังจะต่ำ แต่คำแนะนำทางการแพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

สามารถใช้วิตามินเอร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นได้ไหม

ได้ แต่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นใช้

การใช้วิตามินเอ (เรตินอยด์) ร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นควรเน้นที่การดูแลและปกป้องผิว ดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ร่วมด้วย: ควรใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อลดความแห้งกร้าน และที่สำคัญที่สุดคือครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เพราะวิตามินเอทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองผิว เช่น สครับที่รุนแรง หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (Exfoliating Acids) หลายชนิดพร้อมกัน

References:

  1. American Academy of Dermatology (AAD). Retinoids and Vitamin A for Skin. AAD. aad.org
  2. DermNet NZ. Vitamin A and Retinoids in Dermatology. DermNet NZ. dermnetnz.org
  3. National Institutes of Health. Vitamin A Information. NIH. nih.gov
  4. Healthline. The Benefits — and Limits — of Vitamin A for Your Skin. Healthline. healthline.com
  5. MDPI. Vitamin A and Skin Health Research. MDPI Journals. mdpi.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
วิตามินซี ประโยชน์เพื่อผิวสวยกระจ่างใส กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
NextContinue
วิตามินบี 9 (โฟเลต) คืออะไร? สำคัญต่อสุขภาพเซลล์และผิวพรรณอย่างไร

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube