Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Wellness

วิตามิน B5 (Panthenol) ช่วยรักษาสิว ลดผิวมันได้จริงหรือ?

Byadmin พฤศจิกายน 6, 2025พฤศจิกายน 6, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 6, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
Vitamin B5 (Panthenol) ช่วยรักษาสิว ลดผิวมันได้จริงหรือ?

Table of Contents

Toggle
  • ทำความรู้จัก Vitamin B5 และ Panthenol คืออะไร?
    • ความแตกต่างระหว่าง Panthenol และ Pantothenic Acid
  • กลไกการทำงานของ Vitamin B5 ต่อสุขภาพผิว
    • คุณสมบัติในการเป็น Humectant เติมและกักเก็บความชุ่มชื้น
    • ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
    • ลดการอักเสบและปลอบประโลมผิวที่ระคายเคือง
  • ประสิทธิภาพของ Vitamin B5 ในการรักษาสิวและควบคุมความมัน
    • บทบาทในการลดการอักเสบของสิว
    • การควบคุมการผลิตน้ำมันบนใบหน้า
    • ช่วยลดรอยแดงและฟื้นฟูผิวหลังการเกิดสิว
  • ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของ Vitamin B5 เพื่อผิวสุขภาพดี
    • ฟื้นฟูผิวแห้งขาดน้ำและลดอาการคัน
    • ส่งเสริมกระบวนการสมานแผลและซ่อมแซมเซลล์ผิว
  • ข้อควรรู้ก่อนเลือกใช้ Vitamin B5 ในสกินแคร์และหัตถการ
    • ความเข้มข้นที่เหมาะสมและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ
    • การใช้ร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    • เปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างการทาและการรับประทาน
  • ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ Vitamin B5
    • อาการแพ้ที่อาจพบได้ในผู้ใช้บางราย
    • ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวบอบบางเป็นพิเศษ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Vitamin B5 (FAQ)
    • Vitamin B5 ช่วยเรื่องสิวได้จริงหรือไม่?
    • Panthenol กับ Vitamin B5 คือตัวเดียวกันใช่ไหม?
    • สามารถใช้ Vitamin B5 ร่วมกับ Retinol หรือ Vitamin C ได้หรือไม่?
    • ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Vitamin B5?
    • ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Vitamin B5 นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?
    • การกินวิตามินบี 5 ให้ผลลัพธ์เหมือนการทาบนผิวหรือไม่?
  • References:

ทำความรู้จัก Vitamin B5 และ Panthenol คืออะไร?

วิตามินบี 5 (Pantothenic Acid) คือวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของผิวให้แข็งแรง ส่วนแพนทีนอล (Panthenol) คือสารตั้งต้นของวิตามินบี 5 (Pro-vitamin B5) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เสถียรกว่า เมื่อทาแพนทีนอลลงบนผิว ผิวจะดูดซึมและเปลี่ยนให้กลายเป็นวิตามินบี 5 ที่พร้อมใช้งาน ทำให้แพนทีนอลมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิว

ความแตกต่างระหว่าง Panthenol และ Pantothenic Acid

Pantothenic Acid คือวิตามินบี 5 ในขณะที่ Panthenol คือโปรวิตามินบี 5 ซึ่งเป็นสารตั้งต้น (precursor) ของวิตามินบี 5

โดยทั่วไปแล้ว Panthenol เป็นรูปแบบที่เสถียรและนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เมื่อทาลงบนผิวจะถูกดูดซึมและเปลี่ยนเป็น Pantothenic Acid (วิตามินบี 5) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผิวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการบำรุงและฟื้นฟูได้โดยตรง

กลไกการทำงานของ Vitamin B5 ต่อสุขภาพผิว

คุณสมบัติในการเป็น Humectant เติมและกักเก็บความชุ่มชื้น

แพนทีนอล (Panthenol) เป็นสารฮิวเมกเตนท์ (Humectant) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดและกักเก็บน้ำไว้ในผิว ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง (Transepidermal Water Loss หรือ TEWL)

ด้วยคุณสมบัติที่ชอบน้ำ (Hygroscopic) แพนทีนอลจะดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวชั้นนอกสุด (Stratum Corneum) และจับโมเลกุลน้ำไว้ การทำงานแบบสองทางนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเติมความชุ่มชื้น แต่ยังป้องกันไม่ให้ความชื้นระเหยออกจากผิว ทำให้ผิวคงความนุ่ม ชุ่มชื้น และเรียบเนียนได้ยาวนาน

ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง

แพนทีนอลช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวโดยกระตุ้นการสร้างไขมันที่จำเป็น (เช่น เซราไมด์) และโปรตีนในชั้นผิว

เมื่อทาลงบนผิว แพนทีนอลจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินบี 5 ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโคเอนไซม์ เอ (Coenzyme A) ที่จำเป็นต่อกระบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน การทำงานนี้ช่วยเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างไขมันและโปรตีนในชั้นผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นและทนทานต่อปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกได้มากขึ้น

ลดการอักเสบและปลอบประโลมผิวที่ระคายเคือง

แพนทีนอลมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและปลอบประโลมผิว จึงสามารถช่วยลดรอยแดง การระคายเคือง และการอักเสบในผิวที่บอบบางหรือแพ้ง่ายได้

กลไกหนึ่งคือการยับยั้งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ แพนทีนอลยังช่วยซ่อมแซมผิวและสมานแผลโดยเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ ซึ่งช่วยให้รอยแดงจากการระคายเคืองเล็กน้อยหายเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย โลชั่นหลังออกแดด และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก

ประสิทธิภาพของ Vitamin B5 ในการรักษาสิวและควบคุมความมัน

บทบาทในการลดการอักเสบของสิว

วิตามินบี 5 (กรดแพนโทธินิก) อาจช่วยลดการอักเสบของสิว โดยการปรับสมดุลองค์ประกอบของน้ำมันบนผิวหนังและลดการอักเสบในหน่วยรูขุมขนและต่อมไขมัน (pilosebaceous unit)

มีหลักฐานบางชิ้นชี้ว่าการรับประทานวิตามินบี 5 ในปริมาณสูงอาจช่วยลดจำนวนสิวและความรุนแรงของสิวได้ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม หลักฐานโดยรวมยังคงมีจำกัดและไม่สอดคล้องกันเสมอไป ทำให้วิตามินบี 5 ถูกมองว่าเป็นเพียงการรักษาเสริม ไม่ใช่การรักษาหลักสำหรับสิว

การควบคุมการผลิตน้ำมันบนใบหน้า

วิตามินบี 5 และแพนทีนอลสามารถช่วยควบคุมและปรับสมดุลการผลิตน้ำมันบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ

จากการศึกษาพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแพนทีนอลเฉพาะที่ เช่น แผ่นมาสก์หน้า สามารถลดระดับซีบัม (sebum) หรือน้ำมันบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้ที่มีผิวมันและเป็นสิวง่าย กลไกการทำงานอาจมาจากการที่แพนทีนอลช่วยให้ความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวส่งสัญญาณผลิตน้ำมันน้อยลง แม้ว่าจะไม่ประสิทธิภาพเท่ากับยาที่แพทย์สั่ง แต่ก็สามารถช่วยปรับการผลิตน้ำมันให้อยู่ในระดับปกติได้

ช่วยลดรอยแดงและฟื้นฟูผิวหลังการเกิดสิว

ใช่ แพนทีนอลช่วยลดรอยแดงและฟื้นฟูผิวหลังการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และเร่งกระบวนการสมานแผล

แพนทีนอลช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวบริเวณที่เป็นสิวให้แข็งแรงขึ้น ส่งผลให้รอยแดงหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Erythema) จางลงและผิวกลับมาเรียบเนียนได้เร็วขึ้น

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของ Vitamin B5 เพื่อผิวสุขภาพดี

ฟื้นฟูผิวแห้งขาดน้ำและลดอาการคัน

แพนทีนอลช่วยฟื้นฟูผิวแห้งขาดน้ำโดยทำหน้าที่เป็นสารฮิวเมกเตนท์ (humectant) ที่ดึงดูดและกักเก็บน้ำไว้ในผิว พร้อมทั้งลดอาการคันด้วยคุณสมบัติต้านการอักเสบและปลอบประโลมผิว

แพนทีนอลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวชั้นนอกสุด (stratum corneum) และลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง (TEWL) ทำให้ผิวเนียนนุ่มและยืดหยุ่นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยแดง การระคายเคือง และการอักเสบ ซึ่งมีผลการศึกษาทางคลินิกยืนยันว่าสามารถลดอาการคันในภาวะผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) ได้

ส่งเสริมกระบวนการสมานแผลและซ่อมแซมเซลล์ผิว

แพนทีนอล (Panthenol) ช่วยส่งเสริมการสมานแผลและซ่อมแซมผิวโดยการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) และเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (re-epithelialization)

การกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์จะช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้บาดแผลเล็กๆ ปิดเร็วขึ้น นอกจากนี้ แพนทีนอลยังช่วยลดการอักเสบและรอยแดงที่เกิดหลังการอักเสบ (post-inflammatory erythema) เช่น รอยแดงจากสิว ทำให้ผิวฟื้นตัวกลับสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น

ข้อควรรู้ก่อนเลือกใช้ Vitamin B5 ในสกินแคร์และหัตถการ

ความเข้มข้นที่เหมาะสมและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ

ความเข้มข้นที่เหมาะสมของแพนทีนอลในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวคือประมาณ 1-5% โดยช่วงที่ใช้กันทั่วไปและเห็นผลได้ดีคือ 2-5%

แพนทีนอลสามารถใช้ได้ในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่น เซรั่มเนื้อบางเบา (มักใช้ที่ความเข้มข้น 1-2%) เพื่อให้ความชุ่มชื้นโดยไม่หนักผิว หรือในรูปแบบครีมและบาล์มที่เข้มข้นขึ้น (มักใช้ที่ 5%) เพื่อการฟื้นฟูและปลอบประโลมผิวอย่างล้ำลึก โดยสามารถใช้ได้วันละสองครั้งทั้งเช้าและเย็น

การใช้ร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

แพนทีนอลสามารถทำงานร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ ในสกินแคร์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมและเสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้ช่วยลดการระคายเคืองที่อาจเกิดจากส่วนผสมอื่นได้

ส่วนผสมที่ทำงานร่วมกับแพนทีนอลได้ดี มีดังนี้:

  • กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยเสริมการซ่อมแซมผิว ลดการอักเสบ และควบคุมความมัน
  • เซราไมด์ (Ceramides): ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวที่ถูกทำลายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica): เสริมประสิทธิภาพในการปลอบประโลมผิวและลดรอยแดง
  • สารออกฤทธิ์เพื่อการชะลอวัย (Anti-Aging Actives): เช่น เรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHAs/BHAs) โดยแพนทีนอลจะช่วยลดการระคายเคือง ทำให้ผิวทนต่อส่วนผสมเหล่านี้ได้ดีขึ้น

เปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างการทาและการรับประทาน

การทาแพนทีนอลบนผิวจะเน้นการให้ความชุ่มชื้นและซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวโดยตรง ในขณะที่การรับประทานวิตามินบี 5 จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสิวเป็นหลัก แต่มีหลักฐานสนับสนุนที่ยังไม่แน่ชัดเท่ากับการทา

  • การทา (Topical): เป็นวิธีหลักที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และช่วยในการฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการส่งสารสำคัญไปยังผิวหนังโดยตรง จึงเหมาะสำหรับปัญหาผิวทั่วไป เช่น ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย และรอยสิว
  • การรับประทาน (Oral): มีการศึกษาเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินบี 5 ในปริมาณสูงเพื่อรักษาสิวและควบคุมความมัน แต่ผลลัพธ์ยังไม่สม่ำเสมอและไม่ถูกจัดเป็นวิธีรักษามาตรฐานในทางการแพทย์ นอกจากนี้ การรับประทานในปริมาณที่สูงมากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียได้

ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ Vitamin B5

อาการแพ้ที่อาจพบได้ในผู้ใช้บางราย

อาการแพ้แพนทีนอลที่อาจพบได้คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส (allergic contact dermatitis) ซึ่งแม้จะพบได้ไม่บ่อยแต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

อาการที่พบได้แก่ผื่นขึ้นซ้ำๆ หรือผื่นแพ้บริเวณเปลือกตา (allergic eyelid dermatitis) ในผู้ที่แพ้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแพนทีนอลอาจทำให้อาการอักเสบของผิวแย่ลงหรือทำให้แผลหายช้าลงได้ จากข้อมูลล่าสุดพบว่ามีผู้ที่ทดสอบการแพ้ (patch test) ประมาณ 1.2% ที่มีปฏิกิริยาต่อแพนทีนอล

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวบอบบางเป็นพิเศษ

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวบอบบางเป็นพิเศษหรือมีแนวโน้มแพ้ง่ายคือ ควรทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีส่วนผสมของแพนทีนอลบนผิวหนังบริเวณเล็กๆ เป็นเวลาสองสามวันก่อนใช้งานจริง เพื่อตรวจสอบว่ามีอาการแพ้หรือไม่ แม้ว่าอาการแพ้แพนทีนอลจะพบได้ไม่บ่อย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากมีอาการแดงหรือคันต่อเนื่อง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Vitamin B5 (FAQ)

Vitamin B5 ช่วยเรื่องสิวได้จริงหรือไม่?

มีหลักฐานว่าวิตามินบี 5 อาจมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของสิวอักเสบในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางได้ แต่ยังไม่ถือว่าเป็นการรักษาหลัก

งานวิจัยบางชิ้นพบว่าการรับประทานวิตามินบี 5 ในปริมาณสูงอาจช่วยลดจำนวนสิวอักเสบและความมันบนใบหน้าได้ อย่างไรก็ตาม หลักฐานดังกล่าวยังมีจำกัดและผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ในทางกลับกัน แพนทีนอล (Panthenol) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินบี 5 ในรูปแบบทาภายนอก มีประสิทธิภาพที่ชัดเจนกว่าในการช่วยลดรอยแดงหลังสิวหายและส่งเสริมการฟื้นฟูผิว

Panthenol กับ Vitamin B5 คือตัวเดียวกันใช่ไหม?

แพนทีนอล (Panthenol) ไม่ใช่ตัวเดียวกับวิตามินบี 5 โดยตรง แต่เป็นสารตั้งต้น (pro-vitamin) ที่จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินบี 5 เมื่อซึมเข้าสู่ผิวหนัง

แพนทีนอลเป็นอนุพันธ์แอลกอฮอล์ที่เสถียรของกรดแพนโทธินิก (Pantothenic Acid) ซึ่งเป็นวิตามินบี 5 รูปแบบที่ร่างกายใช้ประโยชน์ได้ เมื่อทาแพนทีนอลลงบนผิว ผิวจะดูดซึมและเปลี่ยนให้กลายเป็นวิตามินบี 5 ที่ออกฤทธิ์ในที่สุด ดังนั้น แพนทีนอลจึงทำหน้าที่เป็นสารนำส่งวิตามินบี 5 ให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สามารถใช้ Vitamin B5 ร่วมกับ Retinol หรือ Vitamin C ได้หรือไม่?

สามารถใช้ Vitamin B5 (Panthenol) ร่วมกับ Retinol และ Vitamin C ได้ เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่ทำงานเสริมกันได้ดีและช่วยลดการระคายเคืองจากส่วนผสมอื่น

Panthenol ทำหน้าที่เป็นส่วนผสมสนับสนุน โดยจะช่วยให้ความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว ทำให้ผิวทนต่อส่วนผสมออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ที่แรงกว่าอย่าง Retinol ได้ดีขึ้น และช่วยลดโอกาสการระคายเคืองที่อาจเกิดจาก Vitamin C ได้

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Vitamin B5?

ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินบี 5 (แพนทีนอล) เหมาะสำหรับ แทบทุกสภาพผิว เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและมีประโยชน์หลากหลาย

ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้วิตามินบี 5 มากเป็นพิเศษ ได้แก่:

  • ผู้ที่มีผิวแห้งหรือขาดน้ำ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย: ช่วยปลอบประโลม ลดการอักเสบ รอยแดง และอาการคัน
  • ผู้ที่มีปัญหาสิว: ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่อุดตันรูขุมขน และช่วยลดรอยแดงหลังการเกิดสิว
  • ผู้ที่มีผิวมัน: ช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมันบนใบหน้า
  • ผู้ที่มีผิวที่มีริ้วรอย: ช่วยลดการระคายเคืองจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีฤทธิ์แรง เช่น เรตินอยด์
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาผิว: เช่น การทำเลเซอร์หรือการผลัดเซลล์ผิว เพื่อช่วยเร่งการฟื้นฟูผิว

ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Vitamin B5 นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลด้านความชุ่มชื้นและการปลอบประโลมผิวได้ภายในเวลาไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากการใช้เป็นประจำทุกวัน

ระยะเวลาในการเห็นผลจะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิว ดังนี้

  • ความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง: สามารถรู้สึกได้ถึงผิวที่นุ่มและชุ่มชื้นขึ้น รวมถึงอาการระคายเคืองลดลงภายใน 3-7 วัน
  • รอยแดงหลังการเกิดสิวและการสมานแผล: อาจเห็นรอยแดงจางลงและแผลหายเร็วขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ปัญหาผิวเรื้อรัง: สำหรับผิวแห้งมากหรือผิวอักเสบ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อใช้เป็นเวลาหลายสัปดาห์

การกินวิตามินบี 5 ให้ผลลัพธ์เหมือนการทาบนผิวหรือไม่?

การกินวิตามินบี 5 ให้ผลลัพธ์และมีวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างจากการทาบนผิว โดยการทาจะเน้นการให้ความชุ่มชื้น เสริมเกราะป้องกันผิว และช่วยฟื้นฟูผิวโดยตรง ในขณะที่การกินจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสิวเป็นหลัก

  • การทา (Topical): เป็นวิธีหลักที่แนะนำสำหรับประโยชน์ด้านผิวหนังโดยทั่วไป เช่น การเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ ซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว และช่วยสมานแผล เนื่องจากเป็นการออกฤทธิ์โดยตรงที่ผิวหนัง มีความปลอดภัยสูง และไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบร่างกาย
  • การกิน (Oral): มีการศึกษาเพื่อใช้ในการรักษาสิว โดยต้องใช้ในปริมาณที่สูงมาก (high dose) ซึ่งผลลัพธ์ยังไม่แน่ชัดและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อีกทั้งการกินในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียได้ จึงไม่ใช่วิธีการรักษาหลักที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ

References:

  1. NIH Office of Dietary Supplements. Pantothenic Acid (Vitamin B5) Information. NIH. nih.gov
  2. Cleveland Clinic. Vitamin B5 (Pantothenic Acid). Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  3. Healthline. Pantothenic Acid Benefits for Skin. Healthline. healthline.com
  4. MDPI. Pantothenic Acid in Skin Care Research. MDPI Journals. mdpi.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
วิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยลดสิวฮอร์โมน ปรับสมดุลผิวได้จริงหรือ?
NextContinue
วิตามินเค (Vitamin K) ตัวช่วยลดรอยช้ำ รอยแดง หลังทำเลเซอร์

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube