Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Wellness

วิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยลดสิวฮอร์โมน ปรับสมดุลผิวได้จริงหรือ?

Byadmin พฤศจิกายน 6, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 6, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
วิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยลดสิวฮอร์โมน ปรับสมดุลผิวได้จริงหรือ?

Table of Contents

Toggle
  • วิตามินบี 6 คืออะไร และสำคัญต่อร่างกายอย่างไร?
    • ชื่อทางเคมีและบทบาทหลักในฐานะโคเอนไซม์
    • ความจำเป็นต่อระบบเผาผลาญโปรตีนและไขมัน
  • บทบาทของวิตามินบี 6 ต่อการลดสิวและปรับสมดุลฮอร์โมน
    • กลไกการทำงาน: วิตามินบี 6 กับฮอร์โมนแอนโดรเจน
    • หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผิว
  • ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของวิตามินบี 6 ที่สำคัญต่อสุขภาพ
    • การทำงานของระบบประสาทและการสร้างสารสื่อประสาท
    • การสร้างเม็ดเลือดแดงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    • บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)
  • แหล่งวิตามินบี 6: อาหารจากธรรมชาติกับอาหารเสริม
    • 10 อันดับอาหารที่มีวิตามินบี 6 สูงตามธรรมชาติ
    • ข้อดีและข้อควรระวังของการเลือกทานในรูปแบบอาหารเสริม
  • สัญญาณเตือนภาวะขาดวิตามินบี 6 ที่ไม่ควรมองข้าม
    • อาการทางผิวหนัง ระบบประสาท และภาวะโลหิตจาง
    • กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจวัดระดับวิตามินบี 6
  • ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มเสริมวิตามินบี 6
    • ปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับแต่ละช่วงวัย
    • การประเมินความจำเป็น: ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามิน?
    • เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาสิวฮอร์โมน
  • ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการใช้วิตามินบี 6
    • ผลข้างเคียงจากการได้รับในปริมาณสูงเกินไป
    • ปฏิกิริยาระหว่างวิตามินบี 6 กับยาบางชนิด
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 6
    • วิตามินบี 6 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
    • ร่างกายขาดวิตามินบี 6 จะมีอาการอย่างไร?
    • เราสามารถกินวิตามินบี 6 ทุกวันได้หรือไม่?
    • วิตามินบี 6 มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหรือไม่?
    • อาหารประเภทใดมีวิตามินบี 6 สูง?
    • วิตามินบี 6 ห้ามกินคู่กับยาอะไร?
  • References:

วิตามินบี 6 คืออะไร และสำคัญต่อร่างกายอย่างไร?

วิตามินบี 6 คือวิตามินที่จำเป็นซึ่งทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ กว่า 100 ชนิด โดยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน นอกจากนี้ยังจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ (เช่น เซโรโทนินและโดปามีน) การสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ

ชื่อทางเคมีและบทบาทหลักในฐานะโคเอนไซม์

วิตามินบี 6 มีรูปแบบโคเอนไซม์ที่ออกฤทธิ์คือ ไพริดอกซาล 5′-ฟอสเฟต (PLP) ซึ่งทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมแทบอลิซึมของกรดอะมิโน

PLP มีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน นอกจากนี้ยังช่วยในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท (เช่น เซโรโทนินและโดปามีน) และฮีโมโกลบินอีกด้วย

ความจำเป็นต่อระบบเผาผลาญโปรตีนและไขมัน

วิตามินบี 6 มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อกระบวนการเผาผลาญโปรตีนและไขมัน โดยทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการเผาผลาญกรดอะมิโนซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีน นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกในปฏิกิริยาเคมีที่สกัดพลังงานจากสารอาหารต่างๆ รวมถึงไขมันด้วย

บทบาทของวิตามินบี 6 ต่อการลดสิวและปรับสมดุลฮอร์โมน

กลไกการทำงาน: วิตามินบี 6 กับฮอร์โมนแอนโดรเจน

วิตามินบี 6 ช่วยควบคุมสมดุลของฮอร์โมนแอนโดรเจน โดยทำงานผ่าน 2 กลไกหลัก คือ ช่วยตับในการเผาผลาญแอนโดรเจนส่วนเกิน และลดการตอบสนองของตัวรับฮอร์โมนในเซลล์ผิวหนัง

กลไกการทำงานดังกล่าวประกอบด้วย:

  1. ช่วยเผาผลาญฮอร์โมนที่ตับ: วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญฮอร์โมนที่ตับ ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดแอนโดรเจนส่วนเกินได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระดับฮอร์โมนลดลง
  • ลดการตอบสนองของเซลล์: วิตามินบี 6 ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (PLP) สามารถปรับการทำงานของตัวรับฮอร์โมนสเตียรอยด์ ทำให้การตอบสนองต่อแอนโดรเจนในต่อมไขมันลดลง ซึ่งช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของสิว

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผิว

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงวิตามินบี 6 กับการรักษาสิวฮอร์โมนนั้นยังมีจำกัดและยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน แต่งานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้

  • งานวิจัยที่สนับสนุน: งานวิจัยในปี 2022 ในกลุ่มผู้มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) พบว่าการบริโภควิตามินบี 6 ในปริมาณที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับดัชนีแอนโดรเจนอิสระ (ฮอร์โมนเพศชาย) ที่ลดลง นอกจากนี้ การทดลองทางคลินิกพบว่าอาหารเสริมที่มีวิตามินบี 6 เป็นส่วนประกอบสามารถลดรอยสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ข้อจำกัดและความเห็นผู้เชี่ยวชาญ: ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังมองว่าอิทธิพลของวิตามินบี 6 ต่อสิวยังไม่แน่นอนและต้องการการวิจัยเพิ่มเติม ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินบี 6 (และบี 12) ในปริมาณที่สูงเกินไปอาจกระตุ้นหรือทำให้สิวแย่ลงได้ในบางคน
  • อาการขาดวิตามินที่ผิวหนัง: การขาดวิตามินบี 6 สามารถนำไปสู่ปัญหาผิวหนังได้ เช่น ผื่นคล้ายผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis) บริเวณใบหน้า, ปากนกกระจอก (Cheilosis) และลิ้นอักเสบ (Glossitis) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวิตามินบี 6 ต่อสุขภาพผิว

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของวิตามินบี 6 ที่สำคัญต่อสุขภาพ

การทำงานของระบบประสาทและการสร้างสารสื่อประสาท

วิตามินบี 6 มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างสารสื่อประสาท ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และการทำงานของสมอง

วิตามินบี 6 ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (PLP) ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญ เช่น เซโรโทนิน (serotonin), โดปามีน (dopamine) และกาบา (GABA) การมีวิตามินบี 6 ที่เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ การขาดวิตามินชนิดนี้อาจนำไปสู่อาการทางระบบประสาท เช่น ภาวะซึมเศร้า สับสน และหงุดหงิดง่าย

การสร้างเม็ดเลือดแดงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

วิตามินบี 6 มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำงานผ่านกลไกที่แตกต่างกันดังนี้

  • การสร้างเม็ดเลือดแดง: วิตามินบี 6 จำเป็นต่อการสังเคราะห์ “ฮีม” (heme) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จับออกซิเจนในฮีโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง การขาดวิตามินบี 6 อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (microcytic anemia)
  • การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินบี 6 ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาของลิมโฟไซต์ (lymphocytes) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง และจำเป็นต่อการผลิตอินเตอร์ลิวคิน-2 (interleukin-2) ซึ่งเป็นโมเลกุลสำคัญในการส่งสัญญาณของระบบภูมิคุ้มกัน

บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)

วิตามินบี 6 สามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ได้ โดยเฉพาะอาการทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล และหงุดหงิด

วิตามินบี 6 ทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ที่จำเป็นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอย่างเซโรโทนิน (serotonin) และกาบา (GABA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ การเสริมวิตามินบี 6 จึงอาจช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทเหล่านี้ และลดความรุนแรงของอาการทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนได้ โดยปริมาณที่แนะนำในการศึกษาทั่วไปมักจะอยู่ที่ 50–100 มิลลิกรัมต่อวัน

แหล่งวิตามินบี 6: อาหารจากธรรมชาติกับอาหารเสริม

10 อันดับอาหารที่มีวิตามินบี 6 สูงตามธรรมชาติ

อาหารตามธรรมชาติ 10 อันดับแรกที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 มีดังนี้:

  1. ถั่วชิกพี (Chickpeas)
  2. ตับวัวและเครื่องในสัตว์อื่นๆ
  3. ปลาทูน่าครีบเหลือง
  4. ปลาแซลมอน
  5. อกไก่
  6. ไก่งวง
  7. มันฝรั่ง
  8. กล้วย
  9. ถั่วเปลือกแข็ง (Nuts)
  10. เมล็ดพืช (Seeds)

ข้อดีและข้อควรระวังของการเลือกทานในรูปแบบอาหารเสริม

ข้อดีของวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมคือความสะดวกในการแก้ไขภาวะขาดวิตามินและช่วยให้ได้รับในปริมาณที่สม่ำเสมอ แต่มีข้อควรระวังคือความเสี่ยงจากการได้รับในปริมาณที่มากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อเส้นประสาท

ข้อดีและข้อควรระวังของการทานวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมมีดังนี้

ข้อดี:

  • ช่วยให้ได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณที่แน่นอนและสม่ำเสมอ
  • สามารถแก้ไขภาวะขาดวิตามินได้อย่างรวดเร็ว
  • มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความต้องการวิตามินเพิ่มขึ้นหรือได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ

ข้อควรระวัง:

  • การรับประทานในปริมาณสูงเป็นเวลานานอาจทำให้ได้รับวิตามินเกินขนาดและเกิดพิษต่อเส้นประสาทได้
  • อาหารเสริมขาดสารอาหารอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันซึ่งพบได้ในอาหารตามธรรมชาติ
  • ควรใช้เป็นส่วนเสริมของอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่สิ่งทดแทน

สัญญาณเตือนภาวะขาดวิตามินบี 6 ที่ไม่ควรมองข้าม

อาการทางผิวหนัง ระบบประสาท และภาวะโลหิตจาง

อาการทางผิวหนัง ระบบประสาท และภาวะโลหิตจางเป็นสัญญาณของการขาดวิตามินบี 6 ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ

อาการที่อาจพบได้ ได้แก่:

  • อาการทางผิวหนัง: ผื่นคล้ายผิวหนังอักเสบ (โดยเฉพาะบนใบหน้า) แผลที่มุมปาก (ปากนกกระจอก) และลิ้นอักเสบบวม
  • อาการทางระบบประสาท: อาการหงุดหงิด ซึมเศร้า สับสน และโรคเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งทำให้มีอาการชาหรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามมือและเท้า
  • ภาวะโลหิตจาง: ภาวะโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก (Microcytic anemia) ซึ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า

กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจวัดระดับวิตามินบี 6

กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีภาวะขาดวิตามินบี 6 ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง, ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ, ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย, และผู้ที่ใช้ยาบางชนิด

กลุ่มอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 6 ได้แก่

  • ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง: การเผาผลาญแอลกอฮอล์จะลดการสร้างและเพิ่มการสลายวิตามินบี 6
  • ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ: เช่น โรคเซลิแอค (celiac disease), โรคโครห์น (Crohn’s disease) หรือผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้
  • ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย: หรือผู้ที่ต้องฟอกไต มักมีการสูญเสียวิตามินเพิ่มขึ้น
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด: เช่น ยารักษาวัณโรค (isoniazid), ยาปฏิชีวนะ (cycloserine) และยากันชักบางชนิด
  • สตรีมีครรภ์และผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด: เป็นกลุ่มที่มีความต้องการวิตามินบี 6 สูงขึ้น

ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มเสริมวิตามินบี 6

ปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับแต่ละช่วงวัย

ปริมาณวิตามินบี 6 ที่แนะนำต่อวัน (RDA) สำหรับผู้ใหญ่อายุ 19–50 ปี คือ 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน โดยปริมาณที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามอายุและช่วงวัย ดังนี้

  • ผู้ชายอายุ 51 ปีขึ้นไป: 1.7 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้หญิงอายุ 51 ปีขึ้นไป: 1.5 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หญิงตั้งครรภ์: 1.9 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หญิงให้นมบุตร: 2.0 มิลลิกรัมต่อวัน

การประเมินความจำเป็น: ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามิน?

ผู้ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเสริมวิตามินบี 6 ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์, ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ, ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่ทำให้วิตามินหมดไป, ผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ, และผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น สิวฮอร์โมน, อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) หรือภาวะโฮโมซิสทีนูเรีย

คนส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพดีและรับประทานอาหารที่สมดุลมักไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินบี 6 อย่างไรก็ตาม การเสริมวิตามินจะมีประโยชน์สำหรับกลุ่มคนที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการวิตามินเพิ่มเพื่อพัฒนาการของทารก หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิด (เช่น ไอโซไนอาซิด) ที่รบกวนการทำงานของวิตามินบี 6 นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมสารอาหารบกพร่องหรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าขาดวิตามินก็ควรเสริมวิตามินภายใต้คำแนะนำของแพทย์

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาสิวฮอร์โมน

ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงเพื่อรักษาสิวฮอร์โมน เนื่องจากสิวที่ดูเหมือนสิวฮอร์โมนอาจมีสาเหตุมาจากภาวะอื่น เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนอื่นๆ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจระดับฮอร์โมน เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย การรักษาด้วยตนเองอาจทำให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องล่าช้าและมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงได้

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการใช้วิตามินบี 6

ผลข้างเคียงจากการได้รับในปริมาณสูงเกินไป

ผลข้างเคียงหลักจากการได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงเกินไปเป็นเวลานานคือพิษต่อระบบประสาท โดยเฉพาะโรคเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ (sensory neuropathy) ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาท

อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  • อาการชา รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม หรือปวดแสบปวดร้อน
  • สูญเสียการทรงตัว (ataxia)
  • อาการแพ้แสงและเกิดแผลที่ผิวหนัง
  • ปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ หรือแสบร้อนกลางอก

โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้สามารถหายได้หากหยุดรับประทานวิตามินบี 6 ในปริมาณสูง

ปฏิกิริยาระหว่างวิตามินบี 6 กับยาบางชนิด

วิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมสามารถเกิดปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้ โดยเฉพาะยารักษาโรคพาร์กินสัน ยาปฏิชีวนะ และยากันชัก

ปฏิกิริยาที่สำคัญมีดังนี้:

  • ยาเลโวโดปา (Levodopa): วิตามินบี 6 อาจลดประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน โดยไปเร่งการเปลี่ยนยาเลโวโดปาให้เป็นโดปามีนนอกสมอง
  • ยาปฏิชีวนะ (Isoniazid และ Cycloserine): ยาเหล่านี้สามารถทำให้ระดับวิตามินบี 6 ในร่างกายลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดวิตามินได้ แพทย์จึงมักสั่งจ่ายวิตามินบี 6 ควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันผลข้างเคียง
  • ยากันชัก (Antiepileptic drugs): ยาบางชนิด เช่น เฟนิโทอิน (Phenytoin) และคาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) สามารถเร่งการเผาผลาญวิตามินบี 6 ทำให้ระดับวิตามินในร่างกายลดลง ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงก็อาจลดระดับของยากันชักในเลือดได้เช่นกัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 6

วิตามินบี 6 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

วิตามินบี 6 มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่การเผาผลาญสารอาหารไปจนถึงการทำงานของระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน

วิตามินบี 6 มีประโยชน์หลักดังนี้:

  • การเผาผลาญ: ช่วยในกระบวนการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
  • ระบบประสาทและสมอง: จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญ เช่น เซโรโทนิน (serotonin) และโดปามีน (dopamine) ซึ่งช่วยควบคุมอารมณ์และการทำงานของสมอง
  • สุขภาพหัวใจ: ช่วยควบคุมระดับโฮโมซิสเทอีน (homocysteine) ซึ่งหากมีระดับสูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • การสร้างเม็ดเลือดแดง: มีส่วนช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง
  • ระบบภูมิคุ้มกัน: สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS): มีหลักฐานว่าอาจช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของ PMS โดยเฉพาะอาการทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าและความหงุดหงิด
  • สุขภาพผิว: อาจช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการผลิตไขมันบนผิว ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสิวที่เกิดจากฮอร์โมน

ร่างกายขาดวิตามินบี 6 จะมีอาการอย่างไร?

การขาดวิตามินบี 6 ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ระบบประสาท และเลือด ซึ่งแสดงอาการได้หลายอย่าง

อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • อาการทางผิวหนัง: ผื่นคล้ายผิวหนังอักเสบ (โดยเฉพาะบนใบหน้า), ปากนกกระจอก (แผลที่มุมปาก) และลิ้นอักเสบ (ลิ้นบวมอักเสบ)
  • อาการทางระบบประสาท: หงุดหงิด ซึมเศร้า สับสน และโรคปลายประสาทอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการชาหรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามมือและเท้า
  • อาการทางเลือดและอื่นๆ: ภาวะโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก (microcytic anemia) ซึ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง

เราสามารถกินวิตามินบี 6 ทุกวันได้หรือไม่?

สามารถรับประทานวิตามินบี 6 ทุกวันได้ หากอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม การรับประทานวิตามินบี 6 ในปริมาณที่แนะนำ เช่น ปริมาณที่พบในวิตามินรวมทั่วไป (ประมาณ 1-3 มก.) ถือว่าปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เนื่องจากยังต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ร่างกายทนได้ต่อวัน (Tolerable Upper Intake Level) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 100 มก. สำหรับผู้ใหญ่

อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณสูงติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะเส้นประสาทเสียหายได้

วิตามินบี 6 มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหรือไม่?

ใช่ วิตามินบี 6 อาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสียหายต่อเส้นประสาท (sensory neuropathy) ซึ่งเกิดจากการบริโภคในปริมาณสูงเกินไปเป็นเวลานาน

ความเสี่ยงนี้เกี่ยวข้องกับการรับวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมเท่านั้น โดยไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการบริโภควิตามินบี 6 ที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ อาการของเส้นประสาทที่ถูกทำลายอาจรวมถึงอาการชา รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม ปวดแสบปวดร้อน และสูญเสียการทรงตัว โดยทั่วไป ปริมาณสูงสุดที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ (Tolerable Upper Intake Level) คือ 100 มิลลิกรัม เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นพิษดังกล่าว

อาหารประเภทใดมีวิตามินบี 6 สูง?

อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง ได้แก่ ถั่วชิกพี ตับ ปลา เนื้อสัตว์ปีก และผักและผลไม้บางชนิด

แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ประกอบด้วย:

  • ถั่วชิกพี (Garbanzo beans): เป็นหนึ่งในแหล่งที่ดีที่สุด
  • ตับวัวและเครื่องในสัตว์อื่นๆ
  • ปลา: โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาแซลมอน
  • เนื้อสัตว์ปีก: เช่น อกไก่และไก่งวง
  • ผักและผลไม้: เช่น มันฝรั่งและกล้วย
  • ซีเรียลเสริมวิตามิน (Fortified cereals)

วิตามินบี 6 ห้ามกินคู่กับยาอะไร?

วิตามินบี 6 อาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาเลโวโดปา (Levodopa) ที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยากันชัก

การรับประทานวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงอาจส่งผลต่อยาเหล่านี้ได้

  • ยาเลโวโดปา (Levodopa): วิตามินบี 6 อาจลดประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ยกเว้นในกรณีที่ใช้ร่วมกับยาลดการทำลายเลโวโดปา (dopa-decarboxylase inhibitor) เช่น คาร์บิโดปา (carbidopa)
  • ยาปฏิชีวนะ: ยาบางชนิด เช่น ไอโซไนอาซิด (Isoniazid) และไซโคลเซอรีน (Cycloserine) สามารถทำให้ระดับวิตามินบี 6 ในร่างกายลดลงได้
  • ยากันชัก: ยาบางชนิด เช่น เฟนิโทอิน (phenytoin), ฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital), คาร์บามาเซพีน (carbamazepine) และวาลโปรเอต (valproate) อาจทำให้ระดับวิตามินบี 6 ลดลง และในทางกลับกัน การทานวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงก็อาจลดระดับยาเหล่านี้ในเลือดได้เช่นกัน

References:

  1. NIH Office of Dietary Supplements. Vitamin B6 Fact Sheet for Health Professionals. NIH ODS. ods.od.nih.gov
  2. Cleveland Clinic. Vitamin B6 (Pyridoxine). Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  3. Healthline. Vitamin B6 Benefits and Sources. Healthline. healthline.com
  4. MDPI. Vitamin B6 and Skin Health. MDPI Journals. mdpi.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
วิตามินบี 3 (Niacinamide) ประโยชน์ต่อผิว ลดริ้วรอยและรอยแดง
NextContinue
วิตามิน B5 (Panthenol) ช่วยรักษาสิว ลดผิวมันได้จริงหรือ?

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube