วิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยลดสิวฮอร์โมน ปรับสมดุลผิวได้จริงหรือ?

วิตามินบี 6 คืออะไร และสำคัญต่อร่างกายอย่างไร?
วิตามินบี 6 คือวิตามินที่จำเป็นซึ่งทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ กว่า 100 ชนิด โดยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน นอกจากนี้ยังจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ (เช่น เซโรโทนินและโดปามีน) การสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ
ชื่อทางเคมีและบทบาทหลักในฐานะโคเอนไซม์
วิตามินบี 6 มีรูปแบบโคเอนไซม์ที่ออกฤทธิ์คือ ไพริดอกซาล 5′-ฟอสเฟต (PLP) ซึ่งทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมแทบอลิซึมของกรดอะมิโน
PLP มีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน นอกจากนี้ยังช่วยในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท (เช่น เซโรโทนินและโดปามีน) และฮีโมโกลบินอีกด้วย
ความจำเป็นต่อระบบเผาผลาญโปรตีนและไขมัน
วิตามินบี 6 มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อกระบวนการเผาผลาญโปรตีนและไขมัน โดยทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการเผาผลาญกรดอะมิโนซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีน นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกในปฏิกิริยาเคมีที่สกัดพลังงานจากสารอาหารต่างๆ รวมถึงไขมันด้วย
บทบาทของวิตามินบี 6 ต่อการลดสิวและปรับสมดุลฮอร์โมน
กลไกการทำงาน: วิตามินบี 6 กับฮอร์โมนแอนโดรเจน
วิตามินบี 6 ช่วยควบคุมสมดุลของฮอร์โมนแอนโดรเจน โดยทำงานผ่าน 2 กลไกหลัก คือ ช่วยตับในการเผาผลาญแอนโดรเจนส่วนเกิน และลดการตอบสนองของตัวรับฮอร์โมนในเซลล์ผิวหนัง
กลไกการทำงานดังกล่าวประกอบด้วย:
- ช่วยเผาผลาญฮอร์โมนที่ตับ: วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญฮอร์โมนที่ตับ ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดแอนโดรเจนส่วนเกินได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระดับฮอร์โมนลดลง
- ลดการตอบสนองของเซลล์: วิตามินบี 6 ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (PLP) สามารถปรับการทำงานของตัวรับฮอร์โมนสเตียรอยด์ ทำให้การตอบสนองต่อแอนโดรเจนในต่อมไขมันลดลง ซึ่งช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของสิว
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผิว
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงวิตามินบี 6 กับการรักษาสิวฮอร์โมนนั้นยังมีจำกัดและยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน แต่งานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้
- งานวิจัยที่สนับสนุน: งานวิจัยในปี 2022 ในกลุ่มผู้มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) พบว่าการบริโภควิตามินบี 6 ในปริมาณที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับดัชนีแอนโดรเจนอิสระ (ฮอร์โมนเพศชาย) ที่ลดลง นอกจากนี้ การทดลองทางคลินิกพบว่าอาหารเสริมที่มีวิตามินบี 6 เป็นส่วนประกอบสามารถลดรอยสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อจำกัดและความเห็นผู้เชี่ยวชาญ: ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังมองว่าอิทธิพลของวิตามินบี 6 ต่อสิวยังไม่แน่นอนและต้องการการวิจัยเพิ่มเติม ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินบี 6 (และบี 12) ในปริมาณที่สูงเกินไปอาจกระตุ้นหรือทำให้สิวแย่ลงได้ในบางคน
- อาการขาดวิตามินที่ผิวหนัง: การขาดวิตามินบี 6 สามารถนำไปสู่ปัญหาผิวหนังได้ เช่น ผื่นคล้ายผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis) บริเวณใบหน้า, ปากนกกระจอก (Cheilosis) และลิ้นอักเสบ (Glossitis) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวิตามินบี 6 ต่อสุขภาพผิว
ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของวิตามินบี 6 ที่สำคัญต่อสุขภาพ
การทำงานของระบบประสาทและการสร้างสารสื่อประสาท
วิตามินบี 6 มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างสารสื่อประสาท ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และการทำงานของสมอง
วิตามินบี 6 ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (PLP) ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญ เช่น เซโรโทนิน (serotonin), โดปามีน (dopamine) และกาบา (GABA) การมีวิตามินบี 6 ที่เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ การขาดวิตามินชนิดนี้อาจนำไปสู่อาการทางระบบประสาท เช่น ภาวะซึมเศร้า สับสน และหงุดหงิดง่าย
การสร้างเม็ดเลือดแดงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
วิตามินบี 6 มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำงานผ่านกลไกที่แตกต่างกันดังนี้
- การสร้างเม็ดเลือดแดง: วิตามินบี 6 จำเป็นต่อการสังเคราะห์ “ฮีม” (heme) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จับออกซิเจนในฮีโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง การขาดวิตามินบี 6 อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (microcytic anemia)
- การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินบี 6 ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาของลิมโฟไซต์ (lymphocytes) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง และจำเป็นต่อการผลิตอินเตอร์ลิวคิน-2 (interleukin-2) ซึ่งเป็นโมเลกุลสำคัญในการส่งสัญญาณของระบบภูมิคุ้มกัน
บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)
วิตามินบี 6 สามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ได้ โดยเฉพาะอาการทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล และหงุดหงิด
วิตามินบี 6 ทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ที่จำเป็นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอย่างเซโรโทนิน (serotonin) และกาบา (GABA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ การเสริมวิตามินบี 6 จึงอาจช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทเหล่านี้ และลดความรุนแรงของอาการทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนได้ โดยปริมาณที่แนะนำในการศึกษาทั่วไปมักจะอยู่ที่ 50–100 มิลลิกรัมต่อวัน
แหล่งวิตามินบี 6: อาหารจากธรรมชาติกับอาหารเสริม
10 อันดับอาหารที่มีวิตามินบี 6 สูงตามธรรมชาติ
อาหารตามธรรมชาติ 10 อันดับแรกที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 มีดังนี้:
- ถั่วชิกพี (Chickpeas)
- ตับวัวและเครื่องในสัตว์อื่นๆ
- ปลาทูน่าครีบเหลือง
- ปลาแซลมอน
- อกไก่
- ไก่งวง
- มันฝรั่ง
- กล้วย
- ถั่วเปลือกแข็ง (Nuts)
- เมล็ดพืช (Seeds)
ข้อดีและข้อควรระวังของการเลือกทานในรูปแบบอาหารเสริม
ข้อดีของวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมคือความสะดวกในการแก้ไขภาวะขาดวิตามินและช่วยให้ได้รับในปริมาณที่สม่ำเสมอ แต่มีข้อควรระวังคือความเสี่ยงจากการได้รับในปริมาณที่มากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อเส้นประสาท
ข้อดีและข้อควรระวังของการทานวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมมีดังนี้
ข้อดี:
- ช่วยให้ได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณที่แน่นอนและสม่ำเสมอ
- สามารถแก้ไขภาวะขาดวิตามินได้อย่างรวดเร็ว
- มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความต้องการวิตามินเพิ่มขึ้นหรือได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ
ข้อควรระวัง:
- การรับประทานในปริมาณสูงเป็นเวลานานอาจทำให้ได้รับวิตามินเกินขนาดและเกิดพิษต่อเส้นประสาทได้
- อาหารเสริมขาดสารอาหารอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันซึ่งพบได้ในอาหารตามธรรมชาติ
- ควรใช้เป็นส่วนเสริมของอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่สิ่งทดแทน
สัญญาณเตือนภาวะขาดวิตามินบี 6 ที่ไม่ควรมองข้าม
อาการทางผิวหนัง ระบบประสาท และภาวะโลหิตจาง
อาการทางผิวหนัง ระบบประสาท และภาวะโลหิตจางเป็นสัญญาณของการขาดวิตามินบี 6 ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ
อาการที่อาจพบได้ ได้แก่:
- อาการทางผิวหนัง: ผื่นคล้ายผิวหนังอักเสบ (โดยเฉพาะบนใบหน้า) แผลที่มุมปาก (ปากนกกระจอก) และลิ้นอักเสบบวม
- อาการทางระบบประสาท: อาการหงุดหงิด ซึมเศร้า สับสน และโรคเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งทำให้มีอาการชาหรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามมือและเท้า
- ภาวะโลหิตจาง: ภาวะโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก (Microcytic anemia) ซึ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า
กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจวัดระดับวิตามินบี 6
กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีภาวะขาดวิตามินบี 6 ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง, ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ, ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย, และผู้ที่ใช้ยาบางชนิด
กลุ่มอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 6 ได้แก่
- ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง: การเผาผลาญแอลกอฮอล์จะลดการสร้างและเพิ่มการสลายวิตามินบี 6
- ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ: เช่น โรคเซลิแอค (celiac disease), โรคโครห์น (Crohn’s disease) หรือผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้
- ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย: หรือผู้ที่ต้องฟอกไต มักมีการสูญเสียวิตามินเพิ่มขึ้น
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด: เช่น ยารักษาวัณโรค (isoniazid), ยาปฏิชีวนะ (cycloserine) และยากันชักบางชนิด
- สตรีมีครรภ์และผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด: เป็นกลุ่มที่มีความต้องการวิตามินบี 6 สูงขึ้น
ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มเสริมวิตามินบี 6
ปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับแต่ละช่วงวัย
ปริมาณวิตามินบี 6 ที่แนะนำต่อวัน (RDA) สำหรับผู้ใหญ่อายุ 19–50 ปี คือ 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน โดยปริมาณที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามอายุและช่วงวัย ดังนี้
- ผู้ชายอายุ 51 ปีขึ้นไป: 1.7 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงอายุ 51 ปีขึ้นไป: 1.5 มิลลิกรัมต่อวัน
- หญิงตั้งครรภ์: 1.9 มิลลิกรัมต่อวัน
- หญิงให้นมบุตร: 2.0 มิลลิกรัมต่อวัน
การประเมินความจำเป็น: ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามิน?
ผู้ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเสริมวิตามินบี 6 ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์, ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ, ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่ทำให้วิตามินหมดไป, ผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ, และผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น สิวฮอร์โมน, อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) หรือภาวะโฮโมซิสทีนูเรีย
คนส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพดีและรับประทานอาหารที่สมดุลมักไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินบี 6 อย่างไรก็ตาม การเสริมวิตามินจะมีประโยชน์สำหรับกลุ่มคนที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการวิตามินเพิ่มเพื่อพัฒนาการของทารก หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิด (เช่น ไอโซไนอาซิด) ที่รบกวนการทำงานของวิตามินบี 6 นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมสารอาหารบกพร่องหรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าขาดวิตามินก็ควรเสริมวิตามินภายใต้คำแนะนำของแพทย์
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาสิวฮอร์โมน
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงเพื่อรักษาสิวฮอร์โมน เนื่องจากสิวที่ดูเหมือนสิวฮอร์โมนอาจมีสาเหตุมาจากภาวะอื่น เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนอื่นๆ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจระดับฮอร์โมน เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย การรักษาด้วยตนเองอาจทำให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องล่าช้าและมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงได้
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการใช้วิตามินบี 6
ผลข้างเคียงจากการได้รับในปริมาณสูงเกินไป
ผลข้างเคียงหลักจากการได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงเกินไปเป็นเวลานานคือพิษต่อระบบประสาท โดยเฉพาะโรคเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ (sensory neuropathy) ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาท
อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- อาการชา รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม หรือปวดแสบปวดร้อน
- สูญเสียการทรงตัว (ataxia)
- อาการแพ้แสงและเกิดแผลที่ผิวหนัง
- ปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ หรือแสบร้อนกลางอก
โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้สามารถหายได้หากหยุดรับประทานวิตามินบี 6 ในปริมาณสูง
ปฏิกิริยาระหว่างวิตามินบี 6 กับยาบางชนิด
วิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมสามารถเกิดปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้ โดยเฉพาะยารักษาโรคพาร์กินสัน ยาปฏิชีวนะ และยากันชัก
ปฏิกิริยาที่สำคัญมีดังนี้:
- ยาเลโวโดปา (Levodopa): วิตามินบี 6 อาจลดประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน โดยไปเร่งการเปลี่ยนยาเลโวโดปาให้เป็นโดปามีนนอกสมอง
- ยาปฏิชีวนะ (Isoniazid และ Cycloserine): ยาเหล่านี้สามารถทำให้ระดับวิตามินบี 6 ในร่างกายลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดวิตามินได้ แพทย์จึงมักสั่งจ่ายวิตามินบี 6 ควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันผลข้างเคียง
- ยากันชัก (Antiepileptic drugs): ยาบางชนิด เช่น เฟนิโทอิน (Phenytoin) และคาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) สามารถเร่งการเผาผลาญวิตามินบี 6 ทำให้ระดับวิตามินในร่างกายลดลง ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงก็อาจลดระดับของยากันชักในเลือดได้เช่นกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 6
วิตามินบี 6 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
วิตามินบี 6 มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่การเผาผลาญสารอาหารไปจนถึงการทำงานของระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน
วิตามินบี 6 มีประโยชน์หลักดังนี้:
- การเผาผลาญ: ช่วยในกระบวนการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
- ระบบประสาทและสมอง: จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญ เช่น เซโรโทนิน (serotonin) และโดปามีน (dopamine) ซึ่งช่วยควบคุมอารมณ์และการทำงานของสมอง
- สุขภาพหัวใจ: ช่วยควบคุมระดับโฮโมซิสเทอีน (homocysteine) ซึ่งหากมีระดับสูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- การสร้างเม็ดเลือดแดง: มีส่วนช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง
- ระบบภูมิคุ้มกัน: สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS): มีหลักฐานว่าอาจช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของ PMS โดยเฉพาะอาการทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าและความหงุดหงิด
- สุขภาพผิว: อาจช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการผลิตไขมันบนผิว ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสิวที่เกิดจากฮอร์โมน
ร่างกายขาดวิตามินบี 6 จะมีอาการอย่างไร?
การขาดวิตามินบี 6 ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ระบบประสาท และเลือด ซึ่งแสดงอาการได้หลายอย่าง
อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- อาการทางผิวหนัง: ผื่นคล้ายผิวหนังอักเสบ (โดยเฉพาะบนใบหน้า), ปากนกกระจอก (แผลที่มุมปาก) และลิ้นอักเสบ (ลิ้นบวมอักเสบ)
- อาการทางระบบประสาท: หงุดหงิด ซึมเศร้า สับสน และโรคปลายประสาทอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการชาหรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามมือและเท้า
- อาการทางเลือดและอื่นๆ: ภาวะโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก (microcytic anemia) ซึ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง
เราสามารถกินวิตามินบี 6 ทุกวันได้หรือไม่?
สามารถรับประทานวิตามินบี 6 ทุกวันได้ หากอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม การรับประทานวิตามินบี 6 ในปริมาณที่แนะนำ เช่น ปริมาณที่พบในวิตามินรวมทั่วไป (ประมาณ 1-3 มก.) ถือว่าปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เนื่องจากยังต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ร่างกายทนได้ต่อวัน (Tolerable Upper Intake Level) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 100 มก. สำหรับผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณสูงติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะเส้นประสาทเสียหายได้
วิตามินบี 6 มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหรือไม่?
ใช่ วิตามินบี 6 อาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสียหายต่อเส้นประสาท (sensory neuropathy) ซึ่งเกิดจากการบริโภคในปริมาณสูงเกินไปเป็นเวลานาน
ความเสี่ยงนี้เกี่ยวข้องกับการรับวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมเท่านั้น โดยไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการบริโภควิตามินบี 6 ที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ อาการของเส้นประสาทที่ถูกทำลายอาจรวมถึงอาการชา รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม ปวดแสบปวดร้อน และสูญเสียการทรงตัว โดยทั่วไป ปริมาณสูงสุดที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ (Tolerable Upper Intake Level) คือ 100 มิลลิกรัม เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นพิษดังกล่าว
อาหารประเภทใดมีวิตามินบี 6 สูง?
อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง ได้แก่ ถั่วชิกพี ตับ ปลา เนื้อสัตว์ปีก และผักและผลไม้บางชนิด
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ประกอบด้วย:
- ถั่วชิกพี (Garbanzo beans): เป็นหนึ่งในแหล่งที่ดีที่สุด
- ตับวัวและเครื่องในสัตว์อื่นๆ
- ปลา: โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาแซลมอน
- เนื้อสัตว์ปีก: เช่น อกไก่และไก่งวง
- ผักและผลไม้: เช่น มันฝรั่งและกล้วย
- ซีเรียลเสริมวิตามิน (Fortified cereals)
วิตามินบี 6 ห้ามกินคู่กับยาอะไร?
วิตามินบี 6 อาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาเลโวโดปา (Levodopa) ที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยากันชัก
การรับประทานวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงอาจส่งผลต่อยาเหล่านี้ได้
- ยาเลโวโดปา (Levodopa): วิตามินบี 6 อาจลดประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ยกเว้นในกรณีที่ใช้ร่วมกับยาลดการทำลายเลโวโดปา (dopa-decarboxylase inhibitor) เช่น คาร์บิโดปา (carbidopa)
- ยาปฏิชีวนะ: ยาบางชนิด เช่น ไอโซไนอาซิด (Isoniazid) และไซโคลเซอรีน (Cycloserine) สามารถทำให้ระดับวิตามินบี 6 ในร่างกายลดลงได้
- ยากันชัก: ยาบางชนิด เช่น เฟนิโทอิน (phenytoin), ฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital), คาร์บามาเซพีน (carbamazepine) และวาลโปรเอต (valproate) อาจทำให้ระดับวิตามินบี 6 ลดลง และในทางกลับกัน การทานวิตามินบี 6 ในปริมาณสูงก็อาจลดระดับยาเหล่านี้ในเลือดได้เช่นกัน
References:
- NIH Office of Dietary Supplements. Vitamin B6 Fact Sheet for Health Professionals. NIH ODS. ods.od.nih.gov
- Cleveland Clinic. Vitamin B6 (Pyridoxine). Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Healthline. Vitamin B6 Benefits and Sources. Healthline. healthline.com
- MDPI. Vitamin B6 and Skin Health. MDPI Journals. mdpi.com
