Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

10 วิธีทำให้หน้าใสไร้สิว รวมเทคนิคดูแลตามหลักการแพทย์ 2025

Byadmin ตุลาคม 14, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 14, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
10 วิธีทำให้หน้าใสไร้สิว 2025: จัดเป็นเช็กลิสต์กิจวัตรเช้า-เย็น

การทำให้หน้าใสไร้สิวตามหลักการแพทย์ผิวหนังต้องอาศัยกิจวัตรที่ครอบคลุม 10 วิธี ตั้งแต่การทำความสะอาดที่ถูกต้อง การผลัดเซลล์ผิว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อลดการอุดตัน ไปจนถึงการทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันรอยดำ

Table of Contents

Toggle
  • เช็กสภาพผิว: ใครบ้างที่เหมาะกับโปรแกรมดูแลผิวหน้าใสไร้สิว
    • ลักษณะของผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
    • การประเมินเบื้องต้น: สิวอุดตัน สิวอักเสบ และรอยสิว
  • 10 วิธีดูแลผิวหน้าให้ใสไร้สิวตามหลักการแพทย์
    • 1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี: เลือกผลิตภัณฑ์ตามสภาพผิวและความต้องการ
    • 2. ผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการอุดตัน
    • 3. เติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว
    • 4. ทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันรอยดำและการอักเสบ
    • 5. ใช้ยารักษาสิวเฉพาะที่สำหรับสิวอักเสบและสิวอุดตัน
    • 6. ปรับพฤติกรรมการกิน: ลดอาหารที่กระตุ้นการเกิดสิว
    • 7. จัดการความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    • 8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าและการกดสิวด้วยตัวเอง
    • 9. ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสผิวหน้าเป็นประจำ
    • 10. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาเชิงลึกและการใช้ยา
    • การเลือกส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์สำหรับผิวเป็นสิว
  • ผลลัพธ์และระยะเวลา: ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหน้าใส
    • ไทม์ไลน์การเห็นผลของการดูแลผิวในแต่ละขั้นตอน
    • ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วในการฟื้นฟูสภาพผิวให้เรียบเนียน
  • จากวิธีดูแลพื้นฐานสู่การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
    • สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลผิวด้วยตัวเองไม่เพียงพอ
    • เปรียบเทียบการรักษาสิวและรอยสิวที่คลินิก
    • หลักเกณฑ์การเลือกคลินิกและแพทย์เพื่อความปลอดภัย
  • ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการรักษาสิวที่ทำให้หน้าไม่ใส
    • การใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไปหรือบ่อยเกินความจำเป็น
    • ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติ
    • การละเลยขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิว
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีทำให้หน้าใสไร้สิว
    • ใช้อะไรทาหน้าให้ขาวใสไร้สิวและปลอดภัย?
    • ทำอย่างไรให้ผิวหน้าเนียนละเอียดและรูขุมขนกระชับขึ้น?
    • ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลว่าหน้าใสขึ้นอย่างชัดเจน?
    • การกดสิวเองทำให้หน้าใสขึ้นจริงไหม?
    • นอนดึกทำให้เป็นสิวและหน้าหมองคล้ำจริงหรือไม่?
    • ไปคลินิกเสริมความงามช่วยให้หน้าใสไร้สิวถาวรได้หรือไม่?
  • References:

เช็กสภาพผิว: ใครบ้างที่เหมาะกับโปรแกรมดูแลผิวหน้าใสไร้สิว

ลักษณะของผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายมักมีลักษณะเด่นคือ มีการผลิตซีบัมหรือน้ำมันส่วนเกิน (ผิวมีความมันวาว) รูขุมขนอุดตันง่าย และมีแนวโน้มทางพันธุกรรมหรือฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวซ้ำๆ ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดสิวคือการที่ต่อมไขมันทำงานมากเกินไป และการหนาตัวของเซลล์ผิวในรูขุมขน ซึ่งอาจแย่ลงจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น อาหาร ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ

การประเมินเบื้องต้น: สิวอุดตัน สิวอักเสบ และรอยสิว

สิวอุดตันคือสิวที่ไม่อักเสบ (สิวหัวดำ/หัวขาว) ในขณะที่สิวอักเสบคือตุ่มบวมแดง และรอยสิวคือรอยดำที่เกิดหลังการอักเสบ (PIH) ซึ่งการประเมินเบื้องต้นจะพิจารณาจากลักษณะของสิวแต่ละประเภท

  • สิวอุดตัน (Comedonal Acne): เกิดจากการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน มีลักษณะเป็นสิวหัวดำและสิวหัวขาว จัดเป็นสิวระดับไม่รุนแรง
  • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): เป็นตุ่มแดง กดเจ็บ เช่น ตุ่มนูนแดง (papules) และตุ่มหนอง (pustules) ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อและการอักเสบที่ลึกขึ้น หากเป็นก้อนแข็งหรือซีสต์จะจัดเป็นสิวระดับรุนแรง
  • รอยสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH): คือรอยดำที่เกิดหลังสิวอักเสบหายแล้ว พบได้บ่อยในคนผิวสีเข้มและอาจคงอยู่นานหลายเดือน การป้องกันที่ดีที่สุดคือการควบคุมการอักเสบตั้งแต่เนิ่นๆ และใช้ครีมกันแดดทุกวัน

10 วิธีดูแลผิวหน้าให้ใสไร้สิวตามหลักการแพทย์

1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี: เลือกผลิตภัณฑ์ตามสภาพผิวและความต้องการ

วิธีล้างหน้าที่ถูกต้องคือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่สมดุล โดยควรล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไปมากเกินไป

ขั้นตอนการล้างหน้าที่แนะนำมีดังนี้:

  • ใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และนวดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดด้วยปลายนิ้วเป็นวงกลมเบาๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สครับที่รุนแรงหรือการขัดถูผิว
  • ซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูที่นุ่มสะอาด

2. ผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการอุดตัน

คำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังคือ ควรผลัดเซลล์ผิว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์โดยใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเคมีที่อ่อนโยน เช่น กรดซาลิไซลิก (BHA) ซึ่งสามารถซึมผ่านความมันและสลายสิ่งสกปรกในรูขุมขนได้ดี จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวอุดตัน

ควรหลีกเลี่ยงการใช้สครับขัดผิวที่รุนแรงกับสิวที่กำลังอักเสบ และปรับความถี่ในการใช้ตามการตอบสนองของผิว หากผิวแห้งหรือระคายเคืองมากเกินไป ให้ลดความถี่ลงเหลือสัปดาห์ละครั้ง

3. เติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว

ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) วันละสองครั้ง หลังการล้างหน้า เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวและลดการระคายเคืองจากการใช้ยารักษาสิว

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบา เช่น เนื้อเจลหรือโลชั่น และมองหาส่วนผสมที่เป็นประโยชน์อย่างเซราไมด์ (ceramides), กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) และไนอะซินาไมด์ (niacinamide) ซึ่งช่วยปลอบประโลมผิวและลดรอยแดงโดยไม่อุดตันรูขุมขน การศึกษาวิจัยพบว่าการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่วยให้ผิวทนต่อยารักษาสิวได้ดีขึ้น ลดความแห้งกร้านและการลอกของผิว ซึ่งส่งผลให้การรักษาสิวโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันรอยดำและการอักเสบ

การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกเช้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวกลายเป็นรอยดำที่ฝังแน่น (post-inflammatory hyperpigmentation) และช่วยปกป้องผิวที่บอบบางแพ้ง่ายจากการใช้ยารักษาสิว

การใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้รอยดำที่มีอยู่แล้วจางลงได้เร็วขึ้น สำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดรอยดำได้ง่าย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดมีสี (tinted sunscreen) ที่มีส่วนผสมของ iron oxides เพื่อเพิ่มการป้องกันแสงที่มองเห็นได้ (visible light) ซึ่งเป็นอีกสาเหตุของการเกิดรอยดำ ควรเลือกใช้สูตรที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) หรือกันแดดแบบมิเนอรัล (mineral-based) เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันรูขุมขน

5. ใช้ยารักษาสิวเฉพาะที่สำหรับสิวอักเสบและสิวอุดตัน

ยารักษาสิวเฉพาะที่ที่สำคัญสำหรับสิวอักเสบและสิวอุดตัน ได้แก่ เรตินอยด์, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO), กรดอะซีลาอิก และกรดซาลิไซลิก (BHA) โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการรักษาสิวประเภทต่างๆ กัน

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอุดตัน (หัวดำและหัวขาว) โดยช่วยผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตันใหม่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบด้วย
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): เหมาะสำหรับรักษาสิวอักเสบ (ตุ่มแดงและตุ่มหนอง) โดยการลดเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): สามารถใช้ได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยสลายการอุดตัน ต้านการอักเสบ และยังช่วยลดรอยดำหลังสิวได้ดี
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid – BHA): มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอุดตัน เนื่องจากสามารถละลายในน้ำมันและทำความสะอาดสิ่งสกปรกในรูขุมขนได้ลึก และยังช่วยลดการอักเสบได้เล็กน้อย

6. ปรับพฤติกรรมการกิน: ลดอาหารที่กระตุ้นการเกิดสิว

ควรลดการบริโภคอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (high-glycemic) และผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าอาหารเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว

อาหารที่ควรจำกัด ได้แก่ ของหวาน, แป้งขัดขาว และนม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) เพราะสามารถกระตุ้นต่อมไขมันและทำให้สิวรุนแรงขึ้นได้ แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ลองจำกัดอาหารกลุ่มนี้เป็นเวลา 2-3 เดือนเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิว ในทางกลับกัน อาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาและเมล็ดแฟลกซ์ อาจมีประโยชน์ในการช่วยลดการอักเสบของผิวได้

7. จัดการความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ความเครียดและการอดนอนทำให้อาการสิวแย่ลง เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและสารกระตุ้นการอักเสบออกมามากขึ้น นอกจากนี้ การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงยังส่งผลให้กระบวนการซ่อมแซมผิวแย่ลงด้วย

เพื่อช่วยควบคุมสิว ควรตั้งเป้าหมายการนอนหลับที่มีคุณภาพ 7–9 ชั่วโมงต่อคืน และฝึกเทคนิคการลดความเครียด เช่น การออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ ซึ่งจะช่วยควบคุมฮอร์โมนและสนับสนุนการซ่อมแซมผิวให้ดีขึ้น

8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าและการกดสิวด้วยตัวเอง

การสัมผัสใบหน้าและกดสิวด้วยตัวเองจะทำให้อาการสิวแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ สามารถนำพาสิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขน ในขณะที่การบีบสิวจะยิ่งทำให้สิวอักเสบมากขึ้น เปลี่ยนจากสิวเม็ดเล็กให้กลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ และเพิ่มโอกาสที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวรหรือรอยดำที่ใช้เวลานานกว่าจะจางหายไป

9. ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสผิวหน้าเป็นประจำ

การทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอนและโทรศัพท์มือถือ เป็นขั้นตอนสำคัญที่มักถูกมองข้ามในการป้องกันสิว เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่สามารถก่อให้เกิดสิวได้

  • ปลอกหมอน: ควรซักอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากคุณมีผิวมันมากหรือเหงื่อออกตอนกลางคืน
  • โทรศัพท์มือถือ: การแนบโทรศัพท์กับแก้มสามารถนำพาสิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขนได้ ควรทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์ทุกวันด้วยแผ่นแอลกอฮอล์ และพิจารณาใช้หูฟังเพื่อลดการสัมผัสโดยตรง

10. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาเชิงลึกและการใช้ยา

ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเมื่อการดูแลผิวด้วยตนเองไม่ได้ผล หรือเมื่อเป็นสิวรุนแรง เช่น สิวอักเสบเป็นก้อนลึก (nodules) หรือสิวซีสต์ (cysts) เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวร รวมถึงกรณีที่สิวส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง

แพทย์ผิวหนังสามารถให้การรักษาเชิงลึกซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป ได้แก่:

  • การใช้ยาตามใบสั่งแพทย์:
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือชนิดรับประทาน เพื่อลดเชื้อแบคทีเรีย
  • การรักษาด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด สำหรับสิวที่เกิดจากฮอร์โมนในผู้หญิง
  • ยารับประทานไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) สำหรับรักษาสิวระดับรุนแรง
  • หัตถการในคลินิก:
  • การกดสิวอุดตันด้วยเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels) เพื่อลดการอุดตันและรอยสิว
  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ (Light/laser therapies) เพื่อลดการอักเสบและรอยแดงรอยดำ

การเลือกส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์สำหรับผิวเป็นสิว

ส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์สำหรับผิวเป็นสิว ได้แก่ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO), เรตินอยด์, กรดอะซีลาอิก, กรดซาลิไซลิก (BHA), ไนอะซินาไมด์ และเซราไมด์

แต่ละส่วนผสมมีคุณสมบัติในการดูแลสิวที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO): เหมาะสำหรับสิวอักเสบ (สิวตุ่มแดงและสิวหัวหนอง) โดยช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ
  • เรตินอยด์ (เช่น อะแดพาลีน): ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ลดการอุดตันของรูขุมขน และป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่ๆ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการอุดตัน และช่วยลดรอยดำ เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • กรดซาลิไซลิก (BHA): เป็นกรดที่ละลายในไขมัน สามารถซึมเข้าไปในรูขุมขนเพื่อสลายสิ่งสกปรกและน้ำมัน ช่วยป้องกันสิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดการอักเสบ ควบคุมความมัน ลดรอยดำ และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • เซราไมด์ (Ceramides): ช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดความแห้งกร้านและการระคายเคืองที่เกิดจากการใช้ยารักษาสิว

ผลลัพธ์และระยะเวลา: ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหน้าใส

ไทม์ไลน์การเห็นผลของการดูแลผิวในแต่ละขั้นตอน

โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง 4-8 สัปดาห์แรก สิวลดลงอย่างเห็นได้ชัดในเดือนที่ 3 และรอยดำจะค่อยๆ จางลงใน 6-12 เดือน

ไทม์ไลน์การเห็นผลของการดูแลผิวเพื่อรักษาสิวโดยทั่วไปมีดังนี้:

  • สัปดาห์แรกๆ: อาจเกิดการดันสิว (purging) ทำให้สิวดูแย่ลงชั่วคราว โดยเฉพาะเมื่อใช้เรตินอยด์ (retinoids)
  • สัปดาห์ที่ 4-8: เริ่มสังเกตเห็นสิวใหม่ลดลง และสิวอักเสบยุบลงอย่างเห็นได้ชัด
  • เดือนที่ 3: ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะพบว่าสิวลดลงประมาณ 70-80% หากปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างสม่ำเสมอ
  • เดือนที่ 4-6: ผิวจะเริ่มเรียบเนียนขึ้น และรอยแดงรอยดำเริ่มจางลง
  • เดือนที่ 6-12: รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) จะจางลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าการรักษาสิว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วในการฟื้นฟูสภาพผิวให้เรียบเนียน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วในการฟื้นฟูสภาพผิวให้เรียบเนียน ได้แก่ ความรุนแรงของสิว, ประเภทและการปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ, รวมถึงปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ การรักษาสิวที่รุนแรงด้วยยาที่ออกฤทธิ์แรงอาจเห็นผลเร็วกว่าการรักษาสิวที่ไม่รุนแรงด้วยผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป

ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อความเร็วในการฟื้นฟูสภาพผิว ได้แก่

  • ความสม่ำเสมอ: การปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลผิวอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น
  • ไลฟ์สไตล์: การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นม, ความเครียด และการนอนหลับไม่เพียงพอ สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวและทำให้การฟื้นฟูสภาพผิวช้าลง
  • พฤติกรรมการดูแลผิว: การใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขนหรือการบีบแกะสิวสามารถทำให้การรักษาสิวช้าลงได้

จากวิธีดูแลพื้นฐานสู่การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลผิวด้วยตัวเองไม่เพียงพอ

สิวที่ยังคงอยู่หรือแย่ลงแม้จะดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมแล้ว, สิวอักเสบชนิดรุนแรง (เช่น สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์), และสิวที่ส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าการดูแลผิวด้วยตัวเองไม่เพียงพอและควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สัญญาณเตือนอื่นๆ ที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่

  • สิวอักเสบชนิดรุนแรง: สิวที่เป็นก้อนแข็งเจ็บใต้ผิวหนัง (nodules) หรือสิวซีสต์ (cysts) ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวร
  • สิวที่ลุกลาม: สิวที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่บนร่างกาย
  • ผลกระทบทางอารมณ์: สิวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ใจอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือการแยกตัวออกจากสังคม

แพทย์ผิวหนังสามารถให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น ยาตามใบสั่งแพทย์ หรือหัตถการในคลินิก เพื่อจัดการกับสิวที่รุนแรงและป้องกันปัญหาระยะยาว

เปรียบเทียบการรักษาสิวและรอยสิวที่คลินิก

การรักษาสิวและรอยสิวที่คลินิกมีความแตกต่างกัน โดยการรักษาสิวจะเน้นไปที่การควบคุมการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ ในขณะที่การรักษารอยสิวจะเน้นการลดเลือนเม็ดสีและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนหลังจากสิวหายแล้ว โดยทั่วไปแพทย์จะรักษาสิวที่ยังอักเสบให้หายดีก่อน แล้วจึงทำการรักษารอยสิวและหลุมสิวในลำดับถัดไป

ตารางเปรียบเทียบการรักษาที่คลินิก:

ลักษณะ การรักษาสิว (Active Acne) การรักษารอยสิวและหลุมสิว (Marks & Scars)
เป้าหมายหลัก ควบคุมการอักเสบ ลดการเกิดสิวใหม่ และป้องกันแผลเป็น ลดเลือนรอยดำรอยแดง (PIH) ปรับสภาพผิว และแก้ไขหลุมสิว
วิธีการรักษา • ยาตามใบสั่งแพทย์ (ยาทา/ยารับประทาน) <br> • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ <br> • การฉายแสงหรือเลเซอร์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) <br> • เลเซอร์ลดรอย (เช่น IPL, Fractional Laser) <br> • การทำไมโครนีดลิง (Microneedling) <br> • การรักษาหลุมสิว (เช่น Subcision, ฟิลเลอร์)
กลไกการทำงาน มุ่งเน้นไปที่การลดเชื้อแบคทีเรีย ลดการผลิตน้ำมัน และลดการอุดตันของรูขุมขน มุ่งเน้นไปที่การกำจัดเม็ดสีส่วนเกิน (เมลานิน) และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

หลักเกณฑ์การเลือกคลินิกและแพทย์เพื่อความปลอดภัย

เกณฑ์สำคัญในการเลือกคลินิกและแพทย์คือควรเลือกคลินิกที่ดูแลโดยแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองและมีสถานพยาบาลที่สะอาดได้มาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ควรพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติมดังนี้

  • ความเชี่ยวชาญของแพทย์: แพทย์ควรซักประวัติและตรวจสภาพผิวอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล แทนที่จะเสนอการรักษาแบบเดียวกันสำหรับทุกคน
  • ความน่าเชื่อถือ: คลินิกที่ดีจะไม่โฆษณาเกินจริง เช่น “รับประกันผล 100% ในคืนเดียว” แต่จะให้ข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ รวมถึงผลข้างเคียงและระยะเวลาพักฟื้น
  • ไม่มีการกดดัน: ควรหลีกเลี่ยงคลินิกที่กดดันให้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือแพ็กเกจการรักษาที่มีราคาแพง
  • ความสะอาดและปลอดภัย: สถานที่ควรให้ความรู้สึกเหมือนสถานพยาบาลมากกว่าร้านเสริมสวย โดยมีมาตรฐานด้านความสะอาดและสุขอนามัยที่เข้มงวด
  • การสื่อสาร: คุณควรรู้สึกสบายใจที่จะซักถามข้อสงสัย และแพทย์ควรสามารถอธิบายเหตุผลของแผนการรักษาได้อย่างชัดเจน
  • รีวิวและผลงาน: การตรวจสอบรีวิวจากผู้ป่วยจริงและดูภาพก่อน-หลังการรักษา สามารถช่วยให้เห็นถึงผลงานและความน่าเชื่อถือของคลินิกได้

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการรักษาสิวที่ทำให้หน้าไม่ใส

การใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไปหรือบ่อยเกินความจำเป็น

การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวมากเกินไปหรือบ่อยเกินความจำเป็น ทำให้ผิวระคายเคืองและอาจทำให้สิวแย่ลง แทนที่จะช่วยให้สิวดีขึ้น

การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกัน เช่น เรตินอยด์ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และกรดซาลิไซลิกในวันเดียว อาจนำไปสู่ผื่นแดง การลอก และเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอลง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้หลักการ “น้อยแต่มาก” คือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่พิสูจน์แล้วเพียงไม่กี่ชนิด และเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทีละตัว โดยให้เวลาผิวปรับตัวประมาณ 6-8 สัปดาห์เพื่อประเมินผล

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติ

เอกสารที่ให้มาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ ในการรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ แต่ได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดทั่วไปในการดูแลผิว เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไป การบีบสิว และการไม่ทาครีมกันแดด โดยเน้นการใช้ส่วนผสมที่ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและอ่อนโยน

การละเลยขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิว

ขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิวที่มักถูกละเลยคือ การไม่ทาครีมกันแดดทุกวัน

การละเลยขั้นตอนนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดที่สำคัญ เนื่องจากผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น การไม่ทาครีมกันแดดอาจทำให้ผิวไหม้ แดง และทำให้รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) จางลงช้า ซึ่งเป็นการทำลายผลลัพธ์จากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอื่นๆ ที่ใช้อยู่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีทำให้หน้าใสไร้สิว

ใช้อะไรทาหน้าให้ขาวใสไร้สิวและปลอดภัย?

เพื่อให้ผิวหน้าขาวใสไร้สิวและปลอดภัย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (actives) เช่น เรตินอยด์ กรดอะซีลาอิก และไนอะซินาไมด์ ควบคู่กับการทาครีมกันแดดทุกวัน ส่วนผสมเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาสิวและลดรอยดำไปพร้อมกันได้

ส่วนผสมสำคัญที่แนะนำมีดังนี้:

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิว และยังช่วยลดเลือนรอยดำและปรับผิวให้เรียบเนียน
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดสิว และยังเป็นสารยับยั้งการสร้างเม็ดสี (tyrosinase inhibitor) ทำให้รอยดำหลังสิวจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความอ่อนโยนสูง
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดการอักเสบของสิว ควบคุมความมัน และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนรอยดำและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
  • ครีมกันแดด (Sunscreen): เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้นและช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิด non-comedogenic ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกเช้า

ทำอย่างไรให้ผิวหน้าเนียนละเอียดและรูขุมขนกระชับขึ้น?

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์และกรดซาลิไซลิก (BHA) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำให้ผิวเรียบเนียนและรูขุมขนดูกระชับขึ้น ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานโดยการผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขนจากภายใน

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ลดการอุดตัน และปรับสภาพผิวโดยรวมให้เรียบเนียนขึ้น
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid – BHA): สามารถซึมเข้าไปในรูขุมขนเพื่อสลายสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อุดตัน ทำให้รูขุมขนสะอาดและดูเล็กลง
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินและปรับสมดุลผิว ซึ่งอาจช่วยให้รูขุมขนดูกระชับขึ้นได้

นอกจากนี้ การทำความสะอาดผิวอย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงการบีบหรือใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนอย่างรุนแรงก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนกว้างขึ้น

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลว่าหน้าใสขึ้นอย่างชัดเจน?

โดยทั่วไปจะเห็นผลว่าสิวลดลงอย่างชัดเจนในเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีสิวลดลงถึง 70-80% หากปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น ดังนี้

  • 4-8 สัปดาห์: เริ่มสังเกตเห็นสิวใหม่ขึ้นน้อยลง และสิวอักเสบเริ่มยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
  • 3 เดือน: สิวโดยรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • 6-12 เดือน: รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) จะค่อยๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมักใช้เวลานานกว่าการรักษาสิวอักเสบ

การกดสิวเองทำให้หน้าใสขึ้นจริงไหม?

ไม่จริง การกดสิวเองมักทำให้ปัญหาสิวแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ

การกดสิวด้วยตัวเองอย่างไม่ถูกวิธีอาจนำไปสู่ผลเสียหลายอย่าง เช่น:

  • ทำให้สิวเม็ดเล็กกลายเป็นสิวอักเสบที่ใหญ่และเจ็บปวดมากขึ้น
  • เพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร
  • ทิ้งรอยดำรอยแดงหลังการอักเสบ (PIH) ที่ใช้เวลานานหลายเดือนในการจางลง
  • อาจทำให้ผิวฉีกขาดและเกิดการติดเชื้อได้

ทางที่ดีควรปล่อยให้สิวหายเองตามธรรมชาติ หรือใช้ยาทาเฉพาะที่ และหากจำเป็นต้องกดสิว ควรให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการด้วยเครื่องมือที่สะอาดและถูกวิธี

นอนดึกทำให้เป็นสิวและหน้าหมองคล้ำจริงหรือไม่?

จริง การนอนดึกหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวและทำให้ผิวดูหมองคล้ำได้ เนื่องจากการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงจะเพิ่มการอักเสบทั่วร่างกายและขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมของผิว นอกจากนี้ยังทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) และสารกระตุ้นการอักเสบสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สิวแย่ลง การนอนหลับให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนจะช่วยควบคุมฮอร์โมนและสนับสนุนการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้น

ไปคลินิกเสริมความงามช่วยให้หน้าใสไร้สิวถาวรได้หรือไม่?

การไปคลินิกเสริมความงาม สามารถช่วยให้สิวหายในระยะยาวได้ แต่ไม่ใช่การรักษาให้หายขาดถาวรโดยไม่ต้องดูแลต่อ เนื่องจากสิวเป็นภาวะเรื้อรังที่ต้องมีการจัดการอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น การใช้ยา Isotretinoin (Accutane) จะสามารถทำให้สิวสงบลงได้นานในผู้ป่วยส่วนใหญ่ แต่สิวก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หากหยุดการดูแลผิวไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น หลังจากที่สิวหายดีแล้ว แพทย์ผิวหนังมักจะแนะนำให้มีแผนการดูแลผิวเพื่อคงสภาพผิวใส (maintenance) ต่อไป เช่น การใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการกลับมาของสิว

References:

  1. American Academy of Dermatology (AAD). (n.d.). Acne: Diagnosis and Treatment. AAD. aad.org
  2. National Health Service (NHS). (n.d.). Acne Treatment and Management. NHS. nhs.uk
  3. National Institute of Health. (n.d.). Evidence-Based Acne Treatment Guidelines. NIH. nih.gov
  4. Healthline. (n.d.). How to Get Clear Skin: A Comprehensive Guide. Healthline. healthline.com
  5. Wiley Online Library. (n.d.). Acne Vulgaris: Clinical Management. Wiley. wiley.com
  6. MDPI. (n.d.). Recent Advances in Acne Treatment. MDPI Journals. mdpi.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
รอยสิวกี่วันหาย? รวมวิธีรักษารอยดำ รอยแดงจากสิวให้จางเร็ว
NextContinue
ฉีดอะไรลดรอยสิว? เปิดราคาทุกหัตถการยอดนิยมที่เห็นผลจริง

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube