Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

รอยสิวกี่วันหาย? รวมวิธีรักษารอยดำ รอยแดงจากสิวให้จางเร็ว

Byadmin กันยายน 30, 2025ตุลาคม 1, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 1, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
รอยสิวกี่วันหาย? รวมวิธีรักษารอยดำ รอยแดงจากสิวให้จางเร็ว

รอยสิวกี่วันหายนั้นแตกต่างกันไปตามประเภทของรอย โดยรอยดำ (PIH) และรอยแดง (PIE) เป็นการเปลี่ยนสีผิวที่จางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและหัตถการทางการแพทย์สามารถเร่งให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายใน 4-8 สัปดาห์.

Table of Contents

Toggle
  • รอยสิวคืออะไร? ทำความเข้าใจรอยดำและรอยแดงจากสิว
    • รอยดำจากสิว (Post-inflammatory Hyperpigmentation – PIH)
    • รอยแดงจากสิว (Post-inflammatory Erythema – PIE)
    • รอยสิวแต่ละประเภทใช้เวลาหายเท่าไหร่?
  • ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการหายของรอยสิว
    • ความรุนแรงของสิว
    • การดูแลผิวหลังเป็นสิว
    • ประเภทผิวและสีผิว
    • อายุ
  • วิธีรักษารอยสิวให้จางเร็วขึ้น
    • การดูแลผิวเบื้องต้นและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิว
    • หัตถการทางการแพทย์เพื่อรักษารอยสิว
  • รอยดำกับรอยแดง: แบบไหนหายยากกว่ากัน?
    • ความแตกต่างในการรักษา
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  • ก่อนตัดสินใจ: สิ่งที่ควรรู้และพิจารณา
    • การเลือกคลินิกและผู้เชี่ยวชาญ
    • ความคาดหวังที่เป็นจริงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
    • ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการรักษาโดยประมาณ
  • ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อรักษารอยสิว
    • การแกะ บีบ หรือกดสิวที่ไม่ถูกวิธี
    • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม
    • การป้องกันแสงแดด
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยสิว
    • รอยสิวหายเองได้ไหม?
    • วิตามินซีช่วยลดรอยสิวได้จริงหรือ?
    • ทำไมรอยสิวบางรอยถึงหายช้า?
    • ควรเริ่มรักษารอยสิวเมื่อไหร่?
    • รอยสิวหายใน 7 วันเป็นไปได้ไหม?
  • References:

รอยสิวคืออะไร? ทำความเข้าใจรอยดำและรอยแดงจากสิว

รอยสิวคือรอยสีที่ปรากฏบนผิวหนังหลังจากสิวอักเสบหายแล้ว โดยแบ่งเป็นรอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) ที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป และรอยแดง (Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE) ที่เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดฝอย รอยทั้งสองชนิดนี้ไม่ใช่หลุมสิวหรือแผลเป็นจริง ๆ เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของผิวสัมผัสและสามารถจางหายไปได้เองตามเวลา

  • รอยดำ (PIH): เป็นจุดสีน้ำตาลหรือสีดำเรียบไปกับผิว เกิดจากการที่ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปในระหว่างกระบวนการรักษาการอักเสบ มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม
  • รอยแดง (PIE): เป็นจุดสีแดงหรือชมพูเรียบไปกับผิว เกิดจากหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวหรือได้รับความเสียหายจากการอักเสบ มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวขาว และเมื่อกดลงไปรอยแดงอาจจางลงชั่วคราว

รอยดำจากสิว (Post-inflammatory Hyperpigmentation – PIH)

รอยดำหลังการอักเสบ (Post-inflammatory Hyperpigmentation – PIH) คือรอยด่างดำที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปในระหว่างกระบวนการสมานแผลของสิว ลักษณะเด่นคือผิวบริเวณนั้นยังคงเรียบเนียน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิว จึงไม่จัดเป็นแผลเป็นที่แท้จริง

รอยดำชนิดนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม และสามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น

รอยแดงจากสิว (Post-inflammatory Erythema – PIE)

รอยแดงจากสิว (Post-inflammatory Erythema – PIE) คือรอยจุดสีแดงหรือชมพูที่เกิดขึ้นหลังสิวหาย ซึ่งเกิดจากการขยายตัวหรือความเสียหายของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ไม่ใช่การผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น

รอยแดงจากสิวมีลักษณะเป็นรอยเรียบ ไม่มีความนูนหรือยุบตัว และมักจะจางลงเมื่อใช้มือกด เนื่องจากเป็นปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ไม่ใช่เม็ดสี รอยชนิดนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวค่อนข้างขาว และสามารถจางหายไปได้เองตามธรรมชาติภายในเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

รอยสิวแต่ละประเภทใช้เวลาหายเท่าไหร่?

ระยะเวลาในการหายของรอยสิวจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรอย โดยรอยที่เป็นเพียงการเปลี่ยนสีผิวจะค่อยๆ จางลงได้เอง ในขณะที่รอยแผลเป็นที่เป็นหลุมหรือรอยนูนจะไม่หายไปหากไม่ได้รับการรักษา

  • รอยแดง (PIE): โดยทั่วไปจะจางลงภายในไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • รอยดำ (PIH): อาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปีหรือนานกว่านั้นในการจางลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม
  • หลุมสิว (Atrophic scars): เป็นรอยแผลเป็นถาวรและไม่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ
  • รอยนูนและคีลอยด์ (Hypertrophic/Keloid scars): เป็นรอยแผลเป็นถาวรเช่นกัน และอาจคงอยู่หรือขยายขนาดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการหายของรอยสิว

ความรุนแรงของสิว

ความรุนแรงของสิวเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการเกิดรอยแผลเป็น เนื่องจากสิวอักเสบที่รุนแรง เช่น สิวซีสต์ สามารถทำลายคอลลาเจนและนำไปสู่การเกิดแผลเป็นหลุมที่คงอยู่ได้นานหลายปี นอกจากนี้ รอยสิวที่เกิดจากสิวรุนแรงมักจะมีสีเข้มและใช้เวลานานกว่า (อาจมากกว่า 1 ปี) ในการจางหายเมื่อเทียบกับสิวที่ไม่รุนแรง ดังนั้น การรีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็นให้น้อยที่สุด

การดูแลผิวหลังเป็นสิว

การดูแลผิวหลังเป็นสิวที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมสิวให้สงบ, หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว, และทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันรอยใหม่ การดูแลรอยสิวที่มีอยู่แล้วสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ป้องกันรอยแผลเป็นในอนาคต:
  • ควบคุมสิว: รักษาและควบคุมสิวอักเสบเพื่อลดโอกาสการเกิดรอย
  • ห้ามแกะสิว: การบีบหรือแกะสิวจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยดำ รอยแดง และหลุมสิว
  • ทาครีมกันแดด: ใช้ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้รอยดำเข้มขึ้น
  • ดูแลรอยสิวที่มีอยู่:
  • รอยดำ (PIH) และรอยแดง (PIE): ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น วิตามินซี, เรตินอยด์, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), หรือกรดผลไม้ (AHA) เพื่อช่วยให้รอยจางลง
  • หลุมสิวและรอยแผลเป็นนูน: รอยแผลเป็นที่เป็นหลุมหรือนูนจะไม่หายไปเองและจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วยหัตถการ เช่น เลเซอร์, การทำ Microneedling, หรือการฉีดฟิลเลอร์/สเตียรอยด์

ประเภทผิวและสีผิว

สีผิวที่แตกต่างกันมีความเสี่ยงต่อรอยสิวคนละประเภท โดยคนผิวคล้ำมักเกิดรอยดำ (PIH) และแผลเป็นนูนได้ง่ายกว่า ในขณะที่คนผิวขาวมักจะเกิดรอยแดง (PIE) มากกว่า

  • ผิวโทนคล้ำ (Darker Skin Tones):
  • มีแนวโน้มที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ได้ง่าย เนื่องจากมีการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากกว่า
  • รอยดำอาจใช้เวลานานหลายเดือนในการจางลง
  • มีความเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดแผลเป็นนูน (Hypertrophic) และคีลอยด์ (Keloid)
  • การรักษาด้วยเลเซอร์หรือหัตถการที่รุนแรงต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดรอยดำมากขึ้น
  • ผิวโทนสว่าง (Lighter Skin Tones):
  • มีแนวโน้มที่จะเกิดรอยแดงหลังการอักเสบ (PIE) ซึ่งเกิดจากปัญหาของเส้นเลือด ไม่ใช่เม็ดสี
  • รอยแดงจะเห็นได้ชัดเจนกว่าในคนผิวขาว แต่อาจจางหายได้เร็วกว่ารอยดำ (ตั้งแต่ไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน)

อายุ

รอยแผลเป็นจากสิวอาจดูแย่ลงเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากผิวสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ ทำให้รอยแผลเป็นชนิดหลุมสิวดูเด่นชัดและลึกขึ้น แม้ว่าความถี่ในการเกิดสิวจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่รอยแผลเป็นจากอดีตจะยังคงอยู่และอาจเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

วิธีรักษารอยสิวให้จางเร็วขึ้น

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์เฉพาะและการทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีที่ช่วยให้รอยสิวจางเร็วขึ้น โดยเน้นการป้องกันและรักษาควบคู่กันไป

วิธีที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง:

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดรอย:
  • รอยดำ (PIH): ส่วนผสมอย่างไฮโดรควิโนน (Hydroquinone), กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid), วิตามินซี (Vitamin C), และเรตินอยด์ (Retinoids) มีประสิทธิภาพในการทำให้รอยดำจางลง
  • รอยแดง (PIE): ส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) สามารถช่วยลดรอยแดงได้
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน: การป้องกันผิวจากรังสียูวีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้รอยสิวคล้ำขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น

วิธีที่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ:

  • เลเซอร์และแสงบำบัด (IPL): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดรอยแดงและรอยดำอย่างรวดเร็ว
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): ช่วยเร่งการกำจัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่มีเม็ดสี ทำให้รอยจางลง
  • ไมโครนีดลิง (Microneedling): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น

การดูแลผิวเบื้องต้นและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิว

การดูแลผิวเบื้องต้นเพื่อลดรอยสิวคือการใช้ผลิตภัณฑ์ทาเฉพาะที่ซึ่งมีส่วนผสมออกฤทธิ์ต่างๆ ร่วมกับการป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ การดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองจะช่วยสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ซึ่งมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ได้แก่:

  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนรอยดำ
  • วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ทำให้รอยดำจางลงและผิวกระจ่างใสขึ้น
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) และ กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดง (PIE) โดยช่วยลดการอักเสบ
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone): เป็นส่วนผสมมาตรฐานที่ช่วยให้รอยดำ (PIH) จางลงโดยการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้รอยดำรอยแดงจางเร็วขึ้น
  • ครีมกันแดด (Sunscreen): จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้นและช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูผิวดีขึ้น

กิจวัตรการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพมักประกอบด้วยการใช้เรตินอยด์ในเวลากลางคืน, วิตามินซีหรือไนอะซินาไมด์ในตอนเช้า, และทาครีมกันแดดทุกวัน

ส่วนผสมสำคัญที่ควรมองหา

ส่วนผสมสำคัญที่ควรมองหาในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อรักษารอยสิว ได้แก่ เรตินอยด์, วิตามินซี, ไนอะซินาไมด์, กรดอะซีลาอิก, และกรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการดูแลรอยสิวที่แตกต่างกันไป

  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับรอยดำ (PIH)
  • วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้รอยดำจางลงและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดง (PIE) และอาการอักเสบ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยลดทั้งรอยแดง (PIE) และรอยดำ (PIH)
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้รอยสิวจางลงเร็วขึ้น
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone): เป็นส่วนผสมมาตรฐานในการลดเลือนรอยดำ แต่ความเข้มข้นสูงมักต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์
  • ซิลิโคนเจล (Silicone Gels): ใช้สำหรับรอยแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic) เพื่อช่วยให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้น

หัตถการทางการแพทย์เพื่อรักษารอยสิว

หัตถการทางการแพทย์เพื่อรักษารอยสิวมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะเหมาะกับรอยสิวประเภทต่างๆ กันไป

  • เลเซอร์ (Lasers): ใช้เลเซอร์กลุ่ม Fractional (เช่น CO₂, Er:YAG) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น และใช้เลเซอร์หลอดเลือด (Pulsed Dye Laser) เพื่อลดรอยแดง
  • การผลัดผิว (Resurfacing): การใช้สารเคมีลอกผิว (Chemical Peels) และการกรอผิว (Dermabrasion) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออกไป ทำให้ผิวเรียบเนียนและสีสม่ำเสมอขึ้น
  • ไมโครนีดลิง (Microneedling): การใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ เหมาะสำหรับรักษาหลุมสิว
  • การฉีด (Injectables):
  • ฟิลเลอร์ (Fillers): ฉีดสารเติมเต็มเพื่อยกผิวบริเวณหลุมสิวให้ตื้นขึ้นทันที
  • สเตียรอยด์ (Steroid Injections): ฉีดเพื่อลดการอักเสบและทำให้รอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ยุบและนิ่มลง
  • TCA CROSS: การใช้กรดความเข้มข้นสูงแต้มลงไปในหลุมสิวชนิด Icepick เพื่อกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
  • หัตถการอื่นๆ: เช่น การใช้แสง IPL เพื่อลดรอยแดงและรอยดำ หรือการตัดพังผืดใต้ผิวหนัง (Subcision) เพื่อคลายการยึดเกาะของหลุมสิว

เลเซอร์ (Laser treatments)

เลเซอร์เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้บ่อยและมีประสิทธิภาพในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว โดยเฉพาะรอยแผลเป็นชนิดหลุมและรอยแดง

เลเซอร์ที่ใช้กันทั่วไปคือกลุ่ม Fractional laser (เช่น CO₂ หรือ Er:YAG) ซึ่งจะสร้างแผลขนาดเล็กๆ ในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น ส่วนเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser (PDL) จะมีประสิทธิภาพในการลดรอยแดง (PIE)

  • กระบวนการ: โดยทั่วไปต้องทำหลายครั้ง (ประมาณ 3-5 ครั้ง) ห่างกันทุก 4 สัปดาห์
  • ผลลัพธ์: สามารถลดความลึกของรอยแผลเป็นได้อย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 30-50% ต่อครั้ง) และผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงหลายเดือนหลังการรักษา
  • การพักฟื้น: หลังการรักษาจะมีช่วงพักฟื้น โดยผิวจะมีอาการบวม แดง และอาจมีของเหลวซึมเล็กน้อยเป็นเวลาสองสามวัน
  • ข้อควรระวัง: การรักษาด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปรับพลังงานให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวสีเข้ม เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำตามมา

การทำทรีตเมนต์และผลัดเซลล์ผิว (Peels, facials)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels) เป็นวิธีที่ใช้ในการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดรอยแผลเป็นตื้นๆ และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรอยดำ (PIH) และรอยแดง (PIE) หลังการอักเสบ

โดยทั่วไปแล้ว การทำทรีตเมนต์ประเภทนี้มีรายละเอียดดังนี้:

  • จำนวนครั้ง: มักจะต้องทำต่อเนื่องเป็นชุด (ประมาณ 3-6 ครั้ง) เพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
  • ประเภท: การลอกผิวมีหลายระดับ ตั้งแต่แบบอ่อนโยนไปจนถึงการลอกผิวแบบลึก (Deep peels) ซึ่งสามารถรักษารอยแผลเป็นที่รุนแรงได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงและใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
  • ทางเลือกอื่น: การกรอผิว (Dermabrasion) เป็นการขัดผิวชั้นนอกออก ซึ่งสามารถลดความลึกของหลุมสิวได้ แต่ก็มีความเสี่ยงและต้องพักฟื้นนานเช่นกัน ส่วนการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นวิธีที่อ่อนโยนกว่ามาก แต่ให้ผลเพียงเล็กน้อยและไม่สามารถรักษาหลุมสิวลึกได้
  • ความปลอดภัย: การลอกผิวระดับปานกลางและลึกควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดแผลไหม้หรือรอยแผลเป็นถาวร

การฉีด (Injectables for certain types of marks)

การฉีดสารต่างๆ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวบางประเภทโดยเฉพาะ โดยจะมุ่งเน้นการรักษาที่แตกต่างกันไปตามชนิดของรอยแผลเป็น

  • ฟิลเลอร์ (Fillers): ใช้สำหรับเติมเต็มรอยแผลเป็นชนิดหลุมตื้น (rolling scars) เพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันที ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6 เดือนถึง 2 ปี
  • สเตียรอยด์ (Corticosteroid injections): เป็นวิธีหลักในการรักษาแผลเป็นนูน (hypertrophic) และคีลอยด์ (keloids) โดยจะช่วยลดการอักเสบและทำให้แผลเป็นแบนราบลง
  • TCA CROSS: เป็นเทคนิคสำหรับรักษารอยแผลเป็นชนิดหลุมลึกแคบ (icepick scars) โดยการใช้กรดความเข้มข้นสูงแต้มลงไปในหลุมเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จากด้านใน
  • โบทูลินัม ท็อกซิน (Botox): เป็นวิธีที่กำลังได้รับการศึกษาว่าอาจช่วยลดแรงตึงของแผลเป็นนูนและคีลอยด์ได้

รอยดำกับรอยแดง: แบบไหนหายยากกว่ากัน?

โดยทั่วไปแล้ว รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE) จะรักษายากกว่า เนื่องจากมีตัวเลือกในการรักษาที่บ้านน้อยกว่ารอยดำ

รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เกิดจากการผลิตเม็ดสีมากเกินไป ซึ่งตอบสนองได้ดีต่อผลิตภัณฑ์ทาผิวที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและผลัดเซลล์ผิว ในขณะที่รอยแดงเกิดจากปัญหาของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อเองได้ทั่วไปมักไม่ค่อยได้ผล และบ่อยครั้งจำเป็นต้องใช้การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น เลเซอร์หรือ IPL เพื่อให้รอยจางลงอย่างมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างในการรักษา

ความแตกต่างหลักในการรักษาคือ รอยดำ (PIH) ซึ่งเกิดจากเม็ดสีส่วนเกิน จะตอบสนองต่อยาทาที่ช่วยลดเม็ดสีและการผลัดเซลล์ผิว ในขณะที่รอยแดง (PIE) ซึ่งเกิดจากเส้นเลือด จะตอบสนองต่อสารลดการอักเสบและเลเซอร์หรือ IPL ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนรอยแผลเป็นที่เป็นหลุมหรือนูนต้องการหัตถการเพื่อปรับโครงสร้างผิว

  • รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH): การรักษามุ่งเน้นไปที่การยับยั้งการผลิตเม็ดสีและเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่คล้ำออกไป โดยใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone), เรตินอยด์ (Retinoids), กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid), วิตามินซี และการลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels)
  • รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema – PIE): การรักษาจะเน้นการลดการอักเสบและจัดการกับเส้นเลือดที่ขยายตัว ยาทาอย่างไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) และกรดอะซีลาอิกสามารถช่วยได้บ้าง แต่การรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับรอยแดงที่คงอยู่นานคือการใช้เลเซอร์หรือแสง IPL เพื่อเป้าหมายไปที่เส้นเลือดโดยตรง
  • รอยแผลเป็นจริง (True Scars): รอยแผลเป็นที่เป็นหลุม (Atrophic) หรือนูน (Hypertrophic/Keloid) ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาทาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยหัตถการทางการแพทย์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่หรือลดขนาดของแผลเป็น เช่น การทำเลเซอร์ (Fractional laser), การทำไมโครนีดลิง (Microneedling) หรือการฉีดสเตียรอยด์สำหรับแผลเป็นนูน

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้คือการทำให้รอยแผลเป็นดูจางลงและสังเกตเห็นได้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ใช่การกำจัดให้หายไปอย่างสมบูรณ์

  • รอยดำและรอยแดง (PIH/PIE): รอยเหล่านี้ไม่ใช่แผลเป็นถาวรและมักจะจางหายไปได้เองภายในเวลาไม่กี่เดือนถึงหนึ่งปี
  • แผลเป็นหลุมหรือรอยนูน: แผลเป็นเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิวอย่างถาวรและไม่สามารถหายเองได้ การรักษาจะช่วยให้ตื้นขึ้นหรือเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้ 100%
  • ระดับการฟื้นฟู: การรักษาแบบผสมผสานหลายวิธี (เช่น เลเซอร์, การผลัดเซลล์ผิว, และยาทา) สามารถช่วยให้รอยแผลเป็นดีขึ้นได้ถึง 70–80% ในขณะที่การรักษาด้วยวิธีเดียวอาจช่วยได้ประมาณ 30–50%

ก่อนตัดสินใจ: สิ่งที่ควรรู้และพิจารณา

การเลือกคลินิกและผู้เชี่ยวชาญ

ควรเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีเทคโนโลยีการรักษาหลากหลาย สามารถแสดงภาพก่อนและหลังการรักษาของผู้ป่วยที่มีสภาพผิวและรอยแผลเป็นคล้ายกัน และให้บริการดูแลที่ครอบคลุม

ผู้เชี่ยวชาญที่ดีควรสามารถประเมินรอยแผลเป็นแต่ละชนิดได้อย่างตรงไปตรงมา และคลินิกควรมีการดูแลที่ครอบคลุมทั้งการจัดการสิวที่ยังคงมีอยู่และการดูแลหลังการรักษา ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการควรมีความสำคัญกว่าราคาที่ถูกเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากการรักษารอยแผลเป็นมักถือเป็นการเสริมความงาม ซึ่งโดยทั่วไปประกันจะไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย

ความคาดหวังที่เป็นจริงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ความคาดหวังที่เป็นจริงสำหรับการรักษารอยแผลเป็นจากสิวคือ การทำให้รอยแผลเป็นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสังเกตเห็นได้น้อยลง แต่ไม่ใช่การกำจัดให้หายไปโดยสมบูรณ์ การรักษาเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและใช้เวลาหลายเดือน โดยความสำเร็จจะวัดจากระดับการดีขึ้น ไม่ใช่การรักษาให้หายขาด

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จะแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษา แต่โดยทั่วไปอาจรวมถึงอาการบวมแดงและระยะเวลาพักฟื้น สำหรับการรักษาที่รุนแรงขึ้นอาจมีความเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนแปลงของสีผิว (โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ) รอยไหม้ หรือแม้กระทั่งการเกิดแผลเป็นใหม่หากทำไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ การฉีดสเตียรอยด์อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นขาวขึ้นหรือยุบตัวลงได้หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม

ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการรักษาโดยประมาณ

ค่าใช้จ่ายในการรักษามีตั้งแต่หลักพันบาทสำหรับผลิตภัณฑ์ทาไปจนถึงหลักแสนบาทสำหรับหัตถการทางการแพทย์ ส่วนระยะเวลาในการรักษามักใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยแผลและความรุนแรง

  • ค่าใช้จ่าย:
  • ผลิตภัณฑ์ทา (Topical Treatments): เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 100-200 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,500-7,000 บาท) สำหรับการใช้งาน 2-3 เดือน
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) และ Microneedling: มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ย่อมเยากว่าเลเซอร์ โดยอยู่ที่ประมาณสองถึงสามร้อยดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,000-10,000 บาท) ต่อครั้ง และต้องทำหลายครั้ง
  • เลเซอร์ (Lasers): เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด อาจสูงถึงหลายพันดอลลาร์สหรัฐ (หลายหมื่นบาท) ต่อครั้ง
  • ระยะเวลา:
  • รอยดำรอยแดง (PIH/PIE): มักจะตอบสนองเร็วกว่า โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนภายใน 4-8 สัปดาห์ และอาจจางลงเกือบทั้งหมดใน 6-12 เดือนด้วยการดูแลที่เหมาะสม
  • หลุมสิว (Atrophic Scars): ต้องใช้เวลานานกว่า การรักษาด้วยเลเซอร์หรือ Microneedling มักทำต่อเนื่องกัน 4-6 เดือน และจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึง 1 ปีหลังการรักษา เนื่องจากคอลลาเจนยังคงสร้างตัวอย่างต่อเนื่อง
  • ฟิลเลอร์ (Fillers): ผลลัพธ์ไม่ถาวร โดยทั่วไปจะอยู่ได้ 6-12 เดือน และจำเป็นต้องกลับมาเติมใหม่

โดยทั่วไป การรักษาหลุมสิวมักเป็นการรักษาเพื่อความงามและไม่สามารถเบิกประกันได้

ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อรักษารอยสิว

การแกะ บีบ หรือกดสิวที่ไม่ถูกวิธี

การแกะ บีบ หรือกดสิวที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้รอยแดง (PIE) และรอยดำ (PIH) แย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงที่สิวจะกลายเป็นแผลเป็นถาวร

การกระทำดังกล่าวเป็นการทำร้ายผิว ทำให้หลอดเลือดฝอยแตก (ซึ่งทำให้รอยแดงแย่ลง) และไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (ทำให้รอยดำเข้มขึ้น) การปล่อยให้สิวหายเองตามธรรมชาติหรือด้วยการใช้ยาจะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยระยะยาวได้อย่างมาก

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมสามารถทำให้ผิวอักเสบมากขึ้นและชะลอการจางลงของรอยสิวได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง การขัดผิวมากเกินไป หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ผิดประเภท เช่น ครีมสเตียรอยด์ที่ไม่ใช่สำหรับรักษาสิว อาจทำให้เกิดการระคายเคืองจนนำไปสู่รอยดำ (hyperpigmentation) หรือแม้กระทั่งผิวถูกทำลาย นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน (comedogenic) ก็สามารถทำให้สิวแย่ลงได้เช่นกัน

การป้องกันแสงแดด

การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากรังสียูวีสามารถทำให้รอยสิวเข้มขึ้นและหายช้าลงได้ โดยการป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันรอยแผลเป็น

คำแนะนำในการป้องกันแสงแดดมีดังนี้:

  • ใช้ครีมกันแดด: ควรทาครีมกันแดดชนิด Broad-spectrum ที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่าทุกเช้า
  • ป้องกันเพิ่มเติม: นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว การป้องกันทางกายภาพ เช่น การสวมหมวกหรือการอยู่ในที่ร่มก็มีประโยชน์
  • ทาซ้ำเมื่อจำเป็น: หากต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรทาครีมกันแดดซ้ำ และอาจพิจารณาใช้ครีมกันแดดชนิดมีสี (tinted sunscreen) เพื่อการป้องกันที่ดียิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยสิว

รอยสิวหายเองได้ไหม?

รอยสิวบางชนิดสามารถหายเองได้ แต่บางชนิดไม่สามารถหายเองได้ โดยขึ้นอยู่กับประเภทของรอยสิวนั้นๆ

  • รอยที่หายเองได้: รอยสิวที่เป็นรอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH) หรือรอยแดง (Post-Inflammatory Erythema – PIE) ซึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนสีของผิวหนัง มักจะจางลงและหายไปเองตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปี
  • รอยที่ไม่หายเอง: แผลเป็นจากสิวที่แท้จริง เช่น หลุมสิว หรือรอยแผลเป็นนูน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผิวหนัง จะไม่หายไปเองและมักจะคงอยู่ถาวรหากไม่ได้รับการรักษา

วิตามินซีช่วยลดรอยสิวได้จริงหรือ?

ใช่ วิตามินซีมีประสิทธิภาพในการลดรอยสิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation หรือ PIH)

วิตามินซีช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้รอยดำจางลงและสีผิวโดยรวมสม่ำเสมอขึ้น อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถเติมเต็มรอยแผลเป็นชนิดหลุมลึกหรือลดรอยแดงได้อย่างสมบูรณ์ และจะเห็นผลดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น เรตินอยด์และครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

ทำไมรอยสิวบางรอยถึงหายช้า?

รอยสิวบางรอยหายช้าเนื่องจากการอักเสบที่ลึกลงไปในชั้นผิวหนังแท้, การสัมผัสแสงแดด, การแกะหรือบีบซ้ำๆ และปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยหลักที่ทำให้รอยสิวจางลงช้า ได้แก่

  • ความลึกของการอักเสบ: หากสิวอักเสบลึกลงไปในชั้นหนังแท้ จะทิ้งเม็ดสีไว้ในชั้นผิวที่ร่างกายต้องใช้เวลานานในการกำจัด
  • การสัมผัสแสงแดด: รังสียูวีเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้ผิวผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น ทำให้รอยดำคงอยู่นานขึ้น
  • การรบกวนผิว: การแกะหรือบีบสิวซ้ำๆ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้รอยสิวเข้มขึ้นและหายช้าลง
  • สภาพผิวและตำแหน่ง: ผู้ที่มีสีผิวเข้มมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยดำได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ รอยสิวบริเวณลำตัว เช่น หลังหรือหน้าอก มักจะหายช้ากว่าบนใบหน้า

ควรเริ่มรักษารอยสิวเมื่อไหร่?

ควรเริ่มรักษารอยสิวหลังจากที่สิวอักเสบหรือสิวที่ขึ้นใหม่ๆ ได้รับการควบคุมเป็นอย่างดีแล้ว เนื่องจากการรักษารอยสิวในขณะที่ยังมีสิวขึ้นใหม่อยู่เรื่อยๆ อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นใหม่ขึ้นมาอีก

โดยทั่วไปแล้ว การเริ่มรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงวัยผู้ใหญ่จะให้ผลดีกว่าการปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน สำหรับผู้ที่ใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือ Accutane แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้รอประมาณ 6 เดือนหลังจากหยุดยา ก่อนที่จะเริ่มการรักษาด้วยเลเซอร์หรือการลอกผิวด้วยสารเคมีที่มีความเข้มข้นสูง

รอยสิวหายใน 7 วันเป็นไปได้ไหม?

ไม่เป็นความจริง การอ้างว่ารอยสิวสามารถหายได้ภายใน 7 วันนั้นเป็นเพียงความเชื่อผิดๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือประสบการณ์ทางการแพทย์

กระบวนการซ่อมแซมและสร้างผิวใหม่ของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มรอยแผลเป็น ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน แม้แต่การรักษาที่เห็นผลเร็วที่สุดอย่างเลเซอร์ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้แผลปิดสนิท และผลลัพธ์ที่แท้จริงจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในอีกหลายเดือนถัดมา

References:

  1. National Institutes of Health. nih.gov
  2. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  3. American Academy of Dermatology. aad.org
  4. Penn Medicine. pennmedicine.org
  5. Journal of Medical Internet Research. jmir.org
  6. MDLinx. mdlinx.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวเสี้ยนตรงจมูกใช้อะไรดี แก้ไขอย่างไรให้ตรงจุด
NextContinue
10 วิธีทำให้หน้าใสไร้สิว รวมเทคนิคดูแลตามหลักการแพทย์ 2025

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube